วันจันทร์ที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

วันเสาร์ที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

พระอภัยมณี


ท้าวสุทัศน์และพระนางประทุมเกสร ผู้ครองกรุงรัตนา มีพระโอรสสององค์ คือ พระอภัยมณี และศรีสุวรรณ ได้รับสั่งให้โอรสทั้งสองไปเรียนศิลปวิทยา ในที่สุดพระอภัยมณีได้เรียนวิชาปี่ ขณะที่ศรีสุวรรณได้เรียนวิชากระบี่กระบอง เมื่อสำเร็จวิชา ก็ได้กลับคืนพระนคร ทว่าพระบิดาทรงกริ้ว ด้วยพระโอรสไปเรียนวิชาชั้นต่ำ ไม่คู่ควรแก่กษัตริย์ จึงไล่ทั้งสองออกจากพระนคร
ทั้งสองเดินทางมาถึงชายทะเล ได้พบกับสามพราหมณ์คือ โมรา สานนท์ และวิเชียร ได้สมัครเป็นมิตรกัน แล้วพระอภัยมณีเป่าปี่ให้คนทั้งหมดฟัง ทั้งหมดเคลิบเคลิ้มตามเพลงปี่จนหลับไป เพลงปี่ดังไปถึงนางผีเสื้อสมุทรที่อาศัยอยู่ในทะเล เมื่อตามเสียงปี่มาพบพระอภัยมณีก็หลงรัก จึงลักพาตัวพระอภัยมณีไปอยู่กับนางบนเกาะ แล้วจำแลงร่างเป็นหญิงสาวสวยงาม แม้พระอภัยรู้อยู่ว่านั่นคือนางยักษ์ แต่ก็ไม่สามารถหนีไปไหนได้ ทั้งสองอยู่กินกันมาจนนางผีเสื้อให้กำเนิดบุตรชายคนหนึ่ง ชื่อว่า สินสมุทร
ด้านศรีสุวรรณกับสามพราหมณ์เมื่อตื่นขึ้นมาไม่พบพระอภัยมณีก็เที่ยวค้นหา จนไปถึงเมืองรมจักรพบศึกติดพัน ศรีสุวรรณกับสามพราหมณ์ช่วยรบป้องกันเมืองได้ ได้พบนางเกษราธิดาของเจ้าเมือง ต่อมาศรีสุวรรณได้อภิเษกนางเกษรา มีพระธิดาชื่อนางอรุณรัศมี
วันหนึ่งสินสมุทรออกไปเที่ยวเล่นเจอพ่อเงือกแม่เงือก จึงจับตัวมาให้พระอภัยดู พ่อเงือกแม่เงือกวอนขอชีวิตโดยเสนอจะพาพระอภัยหนี พระอภัยจึงออกอุบายให้นางผีเสื้อไปถือศีลบนเขาสามวัน ระหว่างนั้นเขาก็พาสินสมุทรหนี พ่อเงือกแม่เงือกพาพระอภัยและสินสมุทรมาเกือบถึงเกาะแก้วพิสดารแล้ว แต่นางผีเสื้อรู้ตัวติดตามมาทัน จับพ่อเงือกแม่เงือกฆ่าเสีย นางเงือกผู้ลูกพาพระอภัยกับสินสมุทรหนีไปจนถึงเกาะแก้วพิสดารได้สำเร็จ บนเกาะนี้มีพระฤๅษีมีฤทธิ์มาก นางผีเสื้อจึงไม่กล้าทำอะไร ทั้งหมดอาศัยอยู่บนเกาะแก้วพิสดาร พระอภัยได้นางเงือกเป็นภริยา
ฝ่ายท้าวสิลราชกับพระนางมณฑา ผู้ครองเมืองเมืองผลึก มีพระธิดาองค์เดียวคือ นางสุวรรณมาลี ทรงเป็นคู่หมั้นอยู่กับอุศเรน เจ้าชายเมืองลังกา วันหนึ่งนางสุวรรณมาลีเกิดนิมิตฝัน โหรทำนายว่าต้องออกเที่ยวทะเลจะได้พบลาภ ทั้งหมดจึงเดินเรือเที่ยวท่องไป แต่เกิดพายุใหญ่พัดเรือไปถึงเกาะนาควาริน คำทำนายของปู่เจ้าทำให้ท้าวสิลราชพากองเรือมุ่งหน้าไปยังเกาะแก้วพิสดาร ได้พบพระอภัยมณีและรับพระอภัยมณีกับสินสมุทรขึ้นเรือไปด้วยเพื่ออาศัยกลับบ้านเมือง แต่เมื่อเรือออกจากเกาะ นางผีเสื้อสมุทรก็มาอาละวาดอีกจนเรือแตก ท้าวสิลราชกับบริวารส่วนใหญ่สิ้นชีพ สินสมุทรพานางสุวรรณมาลีหนีไปได้ พระอภัยมณีเป่าปี่สังหารนางยักษ์
ทั้งหมดแตกกระจายพลัดพรายจากกัน พระอภัยมณีได้รับความช่วยเหลือจากอุศเรน คู่หมั้นของนางสุวรรณมาลี ที่ออกเรือมาตามหาเพราะหายไปนาน ส่วนสินสมุทรกับนางสุวรรณมาลีได้โจรสุหรั่ง โจรสลัดในน่านน้ำนั้นช่วยไว้ได้ แต่โจรคิดทำร้าย สินสมุทรจึงสังหารโจรแล้วครองเรือมาเอง แล้วได้พบศรีสุวรรณที่ออกล่องเรือเที่ยวตามหาพี่ชาย ทั้งหมดเดินทางไปด้วยกันจนมาพบพระอภัยมณีกับอุศเรน สินสมุทรรักนางสุวรรณมาลีอยากได้เป็นแม่ จึงเกิดวิวาทกับอุศเรน พระอภัยมณีไปเมืองผลึกกับนางสุวรรณมาลีและได้ขึ้นครองเมืองแทนท้าวสิลราช อุศเรนแค้นและกลับเมืองลังกายกทัพมาตีเมืองผลึก แต่แพ้อุบายนางวาลีจนสิ้นชีวิต นางละเวงวัณฬาผู้น้องสาวคิดแก้แค้น จึงใช้รูปของตนทำเสน่ห์ส่งไปหัวเมืองต่าง ๆ ให้ยกทัพมาตีเมืองผลึก
ด้านเกาะแก้วพิสดาร นางเงือกให้กำเนิดบุตรชื่อ สุดสาคร เป็นเด็กฉลาดแข็งแรง วันหนึ่งสุดสาครจับม้านิลมังกรได้ พระฤๅษีสอนวิชาให้แล้วเล่าเรื่องพระอภัยมณีให้ฟัง สุดสาครออกเดินทางตามหาพระอภัยมณีจนไปถึงเมืองการเวก ระหว่างทางถูกชีเปลือยหลอกขโมยไม้เท้าและม้านิลมังกรไป แต่พระฤๅษีมาช่วยไว้ เมื่อชิงไม้เท้าและม้านิลมังกรคืนมาได้ ก็เข้าเมืองการเวก กษัตริย์เจ้าเมืองรักใคร่เอ็นดูสุดสาคร จึงเลี้ยงดูเป็นโอรสบุญธรรมอยู่ด้วยกันกับนางเสาวคนธ์และหัสไชยพระธิดาและพระโอรส จนเติบใหญ่ สุดสาครคิดออกตามหาพ่อ เจ้าเมืองการเวกจึงจัดกองเรือให้ โดยมีนางเสาวคนธ์และหัสไชยติดตามไปด้วย ทั้งหมดล่องเรือไปถึงเมืองผลึกขณะถูกทัพลังกาและทัพพันธมิตรล้อมเมือง
พระอภัยมณี ศรีสุวรรณ สินสมุทร และสุดสาคร ช่วยเมืองผลึกรบจนสามารถเอาชนะทัพอื่นๆ ได้ พระอภัยมณีได้รูปวาดนางละเวงที่ลงเสน่ห์ทำให้เมืองต่าง ๆ พากันยกมารบเมืองผลึกตามคำขอนางนาง แล้วเกิดต้องมนต์ของนางละเวงเสียเอง พระอภัยยกทัพตามไปตีเมืองลังกา แต่รบกันเท่าใดก็ไม่แพ้ชนะเสียที ต่อมาพระอภัยมณีลอบติดรถนางละเวงเข้าไปในวัง เมื่อนางละเวงได้พบพระอภัยก็ฆ่าไม่ลง กลับหลงรักจนได้เป็นสามีภรรยากัน ส่วนบริวารอื่นของนางละเวงคือนางยุพาผกา รำภาสะหรี และสุลาลีวัน ใช้เสน่ห์กับฝ่ายพระอภัยมณี ได้แก่ ศรีสุวรรณ สินสมุทร และแม้แต่สุดสาครที่ครองตนเป็นฤๅษีก็ต้องมนต์ไปด้วย จนทั้งหมดหลงมัวเมาติดพันอยู่ในลังกาไม่ยอมกลับเมืองผลึก นางสุวรรณมาลีกับอรุณรัศมีและเสาวคนธ์จึงมาตาม แต่ไม่เป็นผล จนต้องให้หัสไชยช่วยแก้เสน่ห์ให้ลุงและเหล่าพี่ กษัตริย์ทั้งหมดยอมสงบศึกต่อกัน แต่นางเสาวคนธ์แค้นสุดสาครจึงหนีไปเมืองวาหุโลม สุดสาครต้องติดตามไปจนภายหลังจึงได้อภิเษกกัน
ด้านกรุงรัตนา ท้าวสุทัศน์สิ้นพระชนม์ พระอภัยมณีกับเหล่ากษัตริย์จึงเดินทางไปทำศพ มังคลาบุตรของพระอภัยมณีกับนางละเวงได้ครองเมืองลังกา แต่ถูกบาทหลวงยุแหย่จึงแค้นเคืองเหล่ากษัตริย์ จับตัวนางสุวรรณมาลีและพระญาติมาขังไว้ หัสไชยกับสุดสาครยกทัพมาช่วยแต่ไม่สำเร็จ แม้แต่นางละเวงผู้เป็นมารดาเองก็ห้ามปรามไม่ได้ พระอภัยมณีกับศรีสุวรรณยกทัพตามมาจึงเอาชนะศึกได้ จบศึกแล้วพระอภัยมณีอภิเษกโอรสทั้งหลายให้ครองเมืองต่าง ๆ แล้วออกบวชพร้อมกับนางสุวรรณมาลีและนางละเวงก็บวชชีแล้วตามไปปรนนิบัติด้วย ทั้งสามบำเพ็ญศีลอยู่ด้วยกันอย่างสงบสุข

อิเหนา



เริ่มเรื่องกล่าวถึงกษัตริย์วงศ์เทวา ๔ องค์ มีนามตามชื่อกรุงที่ครองราชย์ คือ กุเรปัน ดาหา กาหลัง และสิงหัดส่าหรี ยังมีนครหมันหยาซึ่งเกี่ยวดองเป็นญาติกันกับนครเหล่านี้ โดยท้าวกุเรปันได้นางนิหลาอระตาแห่งหมันหยาเป็นชายา ส่วนท้าวดาหาได้นางดาหราวาตีเป็นชายาเช่นกัน กษัตริย์แห่งวงศ์เทวามีมเหสี ๕ องค์เรียงลำดับตามตำแหน่งดังนี้ ประไหมสุหรี มะเดหวี มะโต ลิกู และเหมาหลาหงี ต่อมาท้าวกุเรปันได้โอรสกับมเหสีเอก ซึ่งโอรสองค์นี้มีวาสนาสูง องค์ปะตาระกาหลา ซึ่งเป็นต้นวงศ์เทวาอยู่บนสวรรค์ได้นำกริชวิเศษลงมาให้ พร้อมจารึกชื่อไว้บนกริชว่า "หยังหยังหนึ่งหรัดอินดรา อุดากันสาหรีปาตี อิเหนาเองหยังตาหลา" แต่เรียกสั้นๆว่า อิเหนา ท้าวหมันหยาได้ธิดากับมเหสีเอกชื่อ จินตะหราวาตี และท้าวดาหาได้ธิดากับมเหสีเอกของตนเช่นเดียวกันชื่อว่า บุษบา ท้าวกุเรปันได้ขอตุนาหงัน (หมั้นไว้) บุษบาให้แก่อิเหนา เพื่อเป็นการสืบราชประเพณี "…ตามจารีตโบราณสืบมา หวังมิให้วงศาอื่นปน…" ส่วนอิเหนาเติบโตเป็นเจ้าชายรูปงาม ชำนาญการใช้กริช ครั้นเมื่อพระอัยกีเมืองหมันหยาสิ้นพระชนม์ อิเหนาได้ไปในงานปลงพระศพแทนพระบิดาและพระมารดาซึ่งทรงครรภ์แก่ ได้ไปพบนางจินตะหราก็หลงรัก และได้นางเป็นชายา โดยไม่ฟังคำทัดทานจากท้าวกุเรปัน และได้บอกเลิกตุหนาหงันนางบุษบาเสียเฉยๆ ทำให้ท้าวดาหาขัดเคืองพระทัยมาก ดังนั้นพอจรกาซึ่ง "รูปชั่วตัวดำ" มาขอตุนาหงัน ท้าวดาหาก็ยอมรับเพราะแค้นอิเหนา 

ฝ่ายองค์อสัญแดหวา (ปะตาระกาหลา) เทวดาผู้ทรงเป็นต้นวงศ์เทวาไม่พอพระทัย อิเหนา เห็นว่าต้องดัดสันดานให้สำนึกตัว จึงบันดาลให้วิหยาสะกำ โอรสท้าวกะหมังกุหนิงเก็บรูปนางบุษบาได้ เกิดคลั่งไคล้รบเร้าให้พระบิดาไปขอ ท้าวดาหาก็ให้ไม่ได้ ท้าวกะหมังกุหนิงก็รักลูกมาก จึงยกทัพไปรบเพื่อแย่งชิงนางบุษบา 

ท้าวดาหาแจ้งข่าวให้ท้าวกุเรปันและจรกายกทัพมาช่วย ท้าวกุเรปันโปรดให้อิเหนาเป็นแม่ทัพยกไปช่วย อิเหนาจึงจำใจต้องจากนางจินตะหรายกทัพไปช่วยท้าวดาหารบจนได้ชัยชนะ และฆ่าท้าวกะหมังกุหนิงและวิหยาสะกำตาย หลังจากเสร็จศึกแล้ว อิเหนาได้เข้าเฝ้าได้ท้าวดาหา และเมื่อได้พบนางบุษบาเป็นครั้งแรก อิเหนาถึงกับตะลึงหลงนางบุษบา 

ต่อมา มะเดหวีซึ่งคงจะวุ่นพระทัยว่าบุษบาจะลงเอยประการใด จึงชวนบุษบากับนางกำนัลไปทำพิธีเสี่ยงเทียนยังวิหาร ใกล้ๆวิหารนั้นพวกอิเหนากำลังตั้งวงเตะตะกร้อ ครั้นพวกสาวใช้มะเดหวีขึ้นมาไล่ ก็พากันวิ่งหนีกระจายไป แต่อิเหนา สังคามาระตาและประสันตาวิ่งเข้าไปแอบอยู่หลังพระปฏิมาในวิหาร วิธีเสี่ยงทายนั้น ใช้เทียนสามเล่ม เล่มหนึ่งเป็นบุษบา ปักตรงหน้านาง อีกเล่มเป็นอิเหนาปักข้างขวา และข้างซ้ายเป็นจรกา แล้วมะเดหวีสอนให้บุษบากล่าวอธิษฐานว่า "…แม้น…จะได้ข้างไหนแน่ ให้ประจักษ์แท้จงหนักหนา แม้นจะได้ข้างระตูจรกา ให้เทียนพี่ยานั้นดับไป…" บุษบาแม้จะอายใจเต็มทีก็จำต้องทำตามมะเดหวี แล้วก็มีเสียงจากปฏิมาว่า "…อันนางบุษบานงเยาว์ จะได้แก่อิเหนาเป็นแม่นมั่น จรกาใช่วงศ์เทวัญ แม้นได้ครองกันจะอันตราย" มะเดหวีได้ยินดังนั้น ก็ตื่นเต้นดี พระทัย แต่ไม่ช้าเรื่องก็แตก เพราะอิเหนาต้อนค้างคาวจนเทียนดับ แล้วใช้ความมืดเข้ามากอดบุษบา แล้วก็ไม่ยอมปล่อย จนพี่เลี้ยงไปเอาคบเพลิงมา ก็เห็นอิเหนากอดบุษบาไว้แน่น มะเดหวีจะกริ้วโกรธอย่างไร ก็เห็นว่าเสียทีอิเหนาเสียแล้ว จึงยอมสัญญาว่าจะหาทางให้อิเหนาได้กับบุษบา อิเหนาจึงยอมปล่อย ครั้นไม่เห็นทางได้บุษบาแต่โดยดี อิเหนาก็คิดอุบายที่ร้ายแรงที่สุด คือเผาโรงมโหรสพในพิธีแต่งงานของบุษบาและจรกาในเมืองดาหา แล้วลักนางไปไว้ ในถ้ำทอง ซึ่งเตรียมไว้ก่อนแล้ว 

องค์ปะตาระกาหลากริ้วอิเหนามาก จึงบันดาลให้เกิดพายุใหญ่หอบรถนางบุษบาและพี่เลี้ยงไปตกที่ชายเมืองประมอตัน 

แล้วแปลงกายนางบุษบาให้เป็นชายชื่อว่า อุณากรรณ ประทานกริชวิเศษให้ และบอกให้เดินทางเข้าสู่เมืองประมอตัน ต่อจากนี้ก็ถึงบทมะงุมมะงาหรา (ท่องเที่ยวหา) อิเหนาเป็นฝ่ายตามหา บุษบาเป็นฝ่ายหนีเดินทางไปตามเมืองต่างๆ ปราบเมืองนั้นๆ ไว้ในอำนาจ มีเหตุการณ์สนุกตื่นเต้นสลับซับซ้อน เช่น ธิดาเจ้าเมืองต่างๆ เข้าใจว่าอุณากรรณเป็นผู้ชายก็หลงรัก ตอนมะงุมมะงา หราเป็นเรื่องราวสักครึ่งหนึ่งของเรื่องทั้งหมด 

เมื่อสิ้นเวรสิ้นกรรมแล้ว กษัตริย์วงศ์เทวาทั้งหมดก็ได้พบกัน อิเหนาได้ปรับความเข้าใจกับนางจินตะหราและได้ครองเมืองกุเรปันอย่างมีความสุขสืบ ไป 

เพลงบุษบาเสี่ยงเทียน 

" เทียนจุดเวียนพระพุทธา ตัวข้า บุษบาขออธิษฐาน 

…เทียนที่เวียนนมัสการ บันดาลให้ หทัยสมปรารถนา 

ดลจิตอิเหนา ให้เขามารักข้า ขอองค์พระปฏิมา เมตตาช่วยคิดอุ้มชู 

ขอเทียนที่เวียนวน ดลฤทัยสิงสู่ ให้องค์ระเด่นเอ็นดู อย่าได้รู้คลายคลอน 

…อ้า องค์พระพุท-ธา ตัวข้า บุษบาขอกราบวิงวอน 

…ข้าสวดมนต์ขอพระพรวิงวอนให้ หทัยระเด่นปรานี 

รักอย่าเคลือบแฝง ดังแสงเทียนริบหรี่ ขอองค์ระเด่นมนตรี โปรดมีจิตนึกเมตตา 

ขอเทียนที่เสี่ยงทาย ดลให้คนรักข้ารักเพียงแต่บุษบา ดั่งข้านี้ ตั้งใจ 

อ้า องค์พระพุทธา ตัวข้า บุษบาขอกราบวิงวอน 

ข้าสวดมนต์ ขอพระพร วิงวอนให้ หทัยระเด่นปรานี 

รัก อย่าเคลือบแฝง ดังแสงเทียนริบหรี่ ขอองค์ระเด่นมนตรี โปรดมีจิตนึกเมตตา 

ขอเทียนที่เสี่ยงทาย ดลให้คนรักข้า รักเพียงแต่บุษบา ดั่งข้านี้ตั้งใจ.."

ขุนช้างขุนแผน




นานมาแล้ว มีครอบครัวสามครอบครัวตั้งบ้านเรือนอยู่ใกล้กัน ครอบครัวหนึ่งคือ ครอบครัวของขุนไกรพลพ่ายผู้รับราชการทหาร มีภรรยาชื่อ นางทองประศรี และมีลูกชายชื่อ พลายแก้ว ครอบครัวที่สอง คือ ขุนศรีวิชัย เศรษฐีใหญ่แห่งเมืองสุพรรณบุรี รับราชการเป็นนายกองกรมช้างนอก มีภรรยาชื่อ นางเทพทอง และมีลูกชายชื่อ ขุนช้าง และครอบครัวที่สาม คือ พันศรโยธา ผู้เป็นพ่อค้า มีภรรยาชื่อ ศรีประจัน และมีลูกสาวรูปงดงามนามพิมพิลาไลย วันหนึ่ง สมเด็จพระพันวษาประสงค์จะล่าควายป่า จึงสั่งให้ขุนไกรนายทหารคู่ใจปลูกพลับพลาและต้อนควายป่าเตรียมไว้ แต่ควายป่าเหล่านั้นกลับแตกตื่นและไม่ยอมเข้าคอก ขุนไกรจึงจำต้องฆ่าควายป่าตายไปหลายตัว สมเด็จพระพันวษาทราบเรื่องก็โกรธมาก และสั่งให้ประหารชีวิตขุนไกรเสีย นางทองประศรีรู้ข่าวจึงรีบพาพลายแก้วหนีไปอยู่ที่เมืองกาญจนบุรี เพราะเกรงว่าตนและลูกจะมีภัย ส่วนครอบครัวของขุนศรีวิชัยก็ถูกพวกโจรจันศรปล้นบ้านและฆ่าขุนศรีวิชัยตาย ส่วนพันศรโยธาก็เดินทางไปค้าขายต่างเมือง และติดไข้ป่าจนตาย เวลาผ่านไป จนพลายแก้วมีอายุได้ ๑๕ ปี ก็บวชเณรเรียนวิชาอยู่ที่วัดส้มใหญ่ แล้วจึงย้ายไปเรียนต่อที่วัดป่าเลไลย ต่อมา ที่วัดป่าเลไลยจัดให้มีเทศน์มหาชาติ ซึ่งเณรพลายแก้วก็ได้รับเลือกให้เป็นผู้เทศน์กัณฑ์มัทรี ซึ่งนางพิมพิลาไลยเป็นเจ้าของกัณฑ์เทศน์นี้ หลังฟังเทศน์จบ นางพิมเกิดความเลื่อมใสเป็นอย่างมาก จึงได้เปลื้องผ้าสไบบูชากัณฑ์เทศ์ เมื่อขุนช้างเห็นเช่นนั้น ก็เปลื้องผ้าห่มของตนวางเคียงคู่กับผ้าสไบของนางพิม และอธิษฐานขอให้ได้นางพิมเป็นภรรยา ซึ่งสร้างความไม่พอใจให้แก่นางพิมเป็นอย่างมาก หลังจากที่เณรพลายแก้วสึกก็ได้ขอให้นางทองประศรีมาสู่ขอนางพิม จนได้แต่งงานกันในที่สุด พอดีกับช่วงนั้น กรุงศรีอยุธยาจะต้องยกทัพไปตีเมืองเชียงใหม่ สมเด็จพระพันวษาจึงถามหาเชื้อสายของขุนไกร ขุนช้างซึ่งขณะนั้นได้เข้ารับราชการอยู่ จึงทูลเล่าเรื่องราวความเก่งกล้าสามารถของพลายแก้ว เพื่อหวังจะพรากให้พลายแก้วกับนางพิมห่างไกลกัน เมื่อสมเด็จพระพันวษาทราบเรื่อง จึงสั่งให้ไปตามตัวพลายแก้ว แล้วแต่งตั้งให้เป็นแม่ทัพไปรบกับเมืองเชียงใหม่ ส่วนนางพิมพิลาไลย เมื่อสามีออกไปรบได้ไม่นาน ก็เกิดอาการป่วยหนัก ขรัวตาจูแห่งวัดป่าเลไลยจึงแนะนำให้เปลี่ยนชื่อเป็นวันทอง ซึ่งเมื่อเปลี่ยนแล้วก็พบว่าอาการไข้ที่เป็นก็หายไปอย่างน่าอัศจรรย์ ระหว่างที่พลายแก้วออกศึก ขุนช้างแสลงทำอุบายนำหม้อใหม่ใส่กระดูกไปให้นางศรีประจันกับนางวันทองดูว่าพลายแก้วตายแล้ว และขู่ว่านางวันทองจะต้องถูกคุมตัวไว้เป็นม่ายหลวงตามกฎหมาย ด้วยความกลัวและถูกบังคับนางศรีประจันจึงยกนางวันทองให้แก่ขุนช้าง นางวันทองจำต้องตามใจแม่และยอมแต่งงานด้วย แต่นางก็ยังไม่ยอมเข้าหอกับขุนช้างอยู่ดี เมื่อพลายแก้วเสร็จศึกและได้ชัยชนะกลับมา พลายแก้วก็ได้นางลาวทอง ลูกสาวของนายบ้านแสนคำแมนแห่งหมู่บ้านจอมทองกลับมาเป็นรางวัลด้วย เมื่อกลับมาถึงกรุงศรีอยุธยาก็ได้รับบรรดาศักดิ์เป็นแผนแสนสะท้าน แผนแสนสะท้านพานางลาวทองกลับเมืองสุพรรณบุรี เมื่อนางวันทองเห็นขุนแผนพาภรรยาใหม่กลับมาด้วย ก็โกรธและด่าทอนางลาวทองและขุนแผน จนทำให้ขุนแผนโมโหพานางลาวทองหนีไปอยู่ที่กาญจนบุรี ส่วนนางวันทองก็จำต้องตกเป็นภรรยาของขุนช้างอย่างจำใจต่อมาขุนช้างและขุนแผนเข้าไปรับราชการอบรมในวังและได้เลื่อนตำแหน่งเป็นมหาดเล็กเวรทั้งสองคน วันหนึ่งนางทองประศรีให้คนมาส่งข่าวว่านางลาวทองป่วยหนัก ขุนแผนจึงฝากเวรไว้กับขุนช้างแล้วรีบกลับไปดูอาการของนางลาวทอง พอรุ่งเช้า สมเด็จพระพันวษาถามถึงขุนแผน ขุนช้างก็ให้ร้ายว่าขุนแผนปีนกำแพงวังหนีกลับไปหาภรรยา เมื่อได้ฟังดังนั้น สมเด็จพระพันวษาก็โกรธจึงสั่งให้นำตัวนางลาวทองมากักไว้ในวัง และส่งให้ขุนแผนไปตระเวนนอกวัง ขุนแผนแค้นขุนช้างมาก จึงคิดจะช่วงชิงนางวันทองกลับคืนมา ขุนแผนออกอุบายหาของวิเศษ ๓ อย่าง คือ ดาบวิเศษ กุมารทอง และม้าฝีเท้าดี เพื่อใช้เป็นอาวุธในการแก้แค้น เมื่อขุนแผนเดินทางไปถึงซ่องโจรของหมื่นหาญ ก็สมัครเข้าเป็นสมุนและได้ช่วยชีวิตหมื่นหาญให้รอดพ้นจากการถูกวัวแดงขวิดตาย หมื่นหาญจึงได้ยกนางบัวคลี่ลูกสาวของตนให้เป็นภรรยาเพื่อตอบแทนในน้ำใจ ต่อมา หมื่นหาญเริ่มเห็นว่าขุนแผนมีวิชาอาคมที่เหนือกว่าตน ก็คิดกำจัดให้พ้นทาง หมื่นหาญจึงสั่งให้นางบัวคลี่วางยาพิษเพื่อฆ่าขุนแผน แต่โหงพรายที่ขุนแผนเลี้ยงไว้ก็มาบอกให้ขุนแผนรู้ตัว คืนนั้นพอนางบัวคลี่นอนหลับ ขุนแผนจึงผ่าท้องนางเพื่อควักเอาเด็กไปทำพิธีปลุกเสกเป็นกุมารทอง ต่อจากนั้น ขุนแผนก็ทำพิธีตีดาบฟ้าฟื้นและไปซื้อม้าลักษณะดีได้ตัวหนึ่ง ชื่อ ม้าสีหมอก จนได้ของวิเศษที่ต้องการครบ ๓ อย่าง มื่อเตรียมการเสร็จ ขุนแผนก็ไปบุกที่บ้านของขุนช้าง แล้วสะกดให้ทุกคนหลับจนหมด จากนั้นจึงขึ้นไปบนบ้านแต่เข้าห้องผิดไปพบนางแก้วกิริยาแทน ขุนแผนจึงได้นางแก้วกิริยาเป็นภรรยา หลังจากนั้น ก็ไปปลุกนางวันทองแล้วพาขึ้นม้าหนีเข้าป่าไปด้วยกัน เมื่อขุนช้างรู้ว่านางวันทองโดนขุนแผนลักตัวไป ก็นำเรื่องไปฟ้องสมเด็จพระพันวษา พระองค์โปรดให้ทหารตามจับตัวขุนแผน แต่ก็ถูกขุนแผนฆ่าตายไปเสียหมด ขุนแผนกับนางวันทองหลบซ่อนตัวอยู่ในป่า จนนางวันทองตั้งท้องจึงพากันออกมามอบตัวสู้คดีกับขุนช้าง ขุนแผนชนะคดี จึงได้พานางวันทองและนางแก้วกิริยากลับมาอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข แต่ขุนแผนก็ยังนึกถึงนางลาวทอง จึงขอร้องจมื่นศรีเสาวรักษ์ขอตัวนางลาวทองจากสมเด็จพระพันวษากลับคืนมา สมเด็จพระพันวษาโกรธที่ขุนแผนกำเริบ จึงสั่งจำคุกขุนแผนไว้ ภรรยาของขุนแผนที่ชื่อนางแก้วกิริยาก็ขอตามไปปรนนิบัติขุนแผนในคุกด้วย ส่วนนางวันทองได้พักอยู่ที่บ้านของหมื่นศรี ขุนช้างรู้เข้าจึงพาพรรคพวกมาฉุดเอานางวันทองกลับไปเป็นภรรยาของตนอีก ต่อมานางวันทองได้คลอดลูกชาย นามว่าพลายงาม ขุนช้างรู้ว่าลูกที่เกิดมานี้ไม่ใช่ลูกของตนก็เกิดความเกลียดชัง และหลอกพาเข้าไปในป่าเพื่อฆ่าเสีย แต่โหงพรายของขุนแผนก็มาช่วยไว้ได้ทัน นางวันทองจึงส่งให้ลูกไปอยู่กับนางทองประศรีที่กาญจนบุรี พลายงามจึงได้ร่ำเรียนวิชาของพ่อจนเชี่ยวชาญ และได้พาไปฝากไว้กับหมื่นศรี เพื่อหาโอกาสให้เข้ารับราชการ ฝ่ายพระเจ้าเชียงอินทร์ เจ้าเมืองเชียงใหม่ ได้ส่งทหารไปชิงตัวนางสร้อยทองธิดาระหว่างที่เดินทางไปยังกรุงศรีอยุธยา พระเจ้าล้านช้างต้องการผูกไมตรีด้วยจึงส่งธิดามาถวายตัว จากนั้นพระเจ้าเชียงอินทร์ก็ยังส่งหนังสือท้ารบไปยังสมเด็จพระพันวษาอีกด้วย ด้วยเหตุนี้เอง พลายงามจึงได้โอกาสในออกรบ และขอให้ปล่อยขุนแผนออกจากคุกเพื่อจะได้ร่วมกันทำศึก ในขณะที่กำลังเตรียมทัพ นางแก้วกิริยาก็คลอดลูกเป็นชายและตั้งชื่อว่า พลายชุมพล ขุนแผนกับพลายงามร่วมกันคุมทัพมุ่งสู่เมืองเชียงใหม่ ระหว่างทางขุนแผนได้แวะเยี่ยมพระพิจิตรกับนางบุษบาซึ่งเคยให้ความช่วยเหลือตนไว้ ครั้งนั้น พลายงามจึงได้พบนางศรีมาลาและได้นางกลับมาเป็นภรรยา หลังจากเสร็จศึกและได้ชัยชนะกลับมา ขุนแผนได้รับแต่งตั้งเป็นพระสุรินฤาไชยผู้ครองเมืองกาญจนบุรี ส่วนพลายงามก็ได้รับแต่งตั้งเป็นจมื่นไวยวรนาถ และได้นางสร้อยฟ้าธิดาของพระเจ้าเชียงอินทร์เป็นภรรยาเพิ่มอีกคน พระไวยต้องการให้แม่กลับมาอยู่กับตนและพ่ออีกครั้ง จึงไปลักพาตัวนางวันทองกลับมา ขุนช้างรู้เข้าก็โกรธเคืองและนำความไปฟ้องสมเด็จพระพันวษา สมเด็จพระพันวษาให้โอกาสนางวันทองตัดสินใจว่าจะเลือกอยู่กับใคร แต่นางก็ตัดสินใจไม่ได้ สมเด็จพระพันวษาจึงกล่าวหาว่านางวันทองเป็นหญิงสองใจ และรับสั่งให้นำตัวไปประหารชีวิต พระไวยพยายามอ้อนวอนขออภัยโทษแต่ก็ห้ามการประหารไม่ทัน ครอบครัวของพระไวยก็ไม่ได้ราบรื่นนักและมักมีการทะเลาะวิวาทกันอยู่เสมอ เนื่องจากนางสร้อยฟ้าไม่พอใจที่พระไวยและนางทองประศรีรักนางศรีมาลามากกว่านาง นางสร้อยฟ้าจึงให้ขอให้เถรขวาดทำเสน่ห์ให้พระไวยหลงรักตนและใส่ความให้พระไวยตีนางมาลา เมื่อพลายชุมพลรู้เข้าก็เข้าไปห้ามแต่ก็ถูกตีตามไปด้วย พลายชุมพลจึงนึกน้อยใจและหนีออกจากบ้านไปหาพ่อแม่ที่กาญจนบุรี ก่อนจะหนีไปบวชเณรต่อที่สุโขทัย ฝ่ายขุนแผนก็รีบไปที่บ้านพระไวย แล้วเสกกระจกมนต์ให้พระไวยรู้ว่าถูกทำเสน่ห์ แต่พระไวยก็ยังไม่เชื่อและพูดลำเลิกบุญคุณเรื่องที่ช่วยพ่อออกมาจากคุก ขุนแผนโกรธมากจึงประกาศตัดพ่อตัดลูก แล้วหนีกลับไปกาญจนบุรีทันที 
เมื่อพลายชุมพลร่ำเรียนวิชาสำเร็จก็สึกออกมานัดหมายกับขุนแผนเพื่อแก้แค้นพระไวย พลายชุมพลปลอมตัวเป็นมอญ โดยใช้ชื่อว่า สมิงมัตรา ยกกองทัพหุ่นหญ้าเสกมาตีเมืองสุพรรณบุรี สมเด็จพระพันวษาจึงสั่งให้ขุนแผนยกทัพไปต้านศึก ขุนแผนแกล้งแพ้เพื่อให้พระไวยจำต้องยกทัพไปต่อสู้กับพลายชุมพล ระหว่างที่กำลังต่อสู้กัน ขุนแผนบอกให้พลายชุมพลจับตัวพระไวยไว้ พระไวยเห็นพ่อก็ตกใจ จึงหนีกับไปฟ้องสมเด็จพระพันวษา พระองศ์จึงสั่งให้นางศรีมาลาไปรับตัวขุนแผนกับพลายชุมพลเข้าวัง พลายชุมพลอาสาจับเสน่ห์ โดยขอให้หมื่นศรีไปเป็นพยานด้วย พลายชุมพลจับตัวเถรขวาดกับเณรจิ๋วไว้ แล้วขุดรูปปั้นลงอาคมที่ฝั่งไส้ใต้ดินขึ้นมาได้ มนต์เสน่ห์ที่ทำไว้จึงคลายลง พอตกดึกเถรขวาดกับเณรจิ๋วก็แอบสะเดาะโซ่ตรวนหลบหนีไป ในการไต่สวนคดี นางสร้อยฟ้าไม่ยอมรับว่าตนเป็นคนทำเสน่ห์ และใส่ร้ายว่านางศรีมาลาเป็นชู้กับพลายชุมพล พอนางจับได้พลายชุมพลก็หนีไปยุยงขุนแผน ด้วยเหตุนี้จึงมีการพิสูจน์ความบริสุทธิ์โดยการลุยไฟ ซึ่งนางสร้อยฟ้าก็แพ้และถูกไฟลวกจนพุพอง ส่วนนางศรีมาลากลับไม่เป็นอะไรเลย สมเด็จพระพันวษาจึงสั่งประหารนางสร้อยฟ้า แต่นางศรีมาลาก็ขออภัยโทษไว้ นางสร้อยฟ้าจึงถูกเนรเทศกลับไปอยู่ที่เมืองเชียงใหม่ตามเดิม  ระหว่างเดินทางกลับเมืองเชียงใหม่ก็ได้พบกับเถรขวาดกับเณรจิ๋ว จึงได้เดินทางกลับไปด้วยกัน ต่อมาไม่นาน นางสร้อยฟ้าก็ให้กำเนิดลูกชายนามว่าพลายยง ส่วนนางศรีมาลาก็คลอดลูกชายเช่นกัน นามว่าพลายเพชร พระเจ้าเชียงอินทร์แต่งตั้งเถรขวาดให้เป็นพระสังฆราช เพื่อตอบแทนความดีความชอบที่พานางสร้อยฟ้ากลับมาบ้านเมืองได้อย่างปลอดภัย แต่เถรขวาดก็ยังแค้นพลายชุมพลจึงเดินทางมาที่กรุงศรีอยุธยา และแปลงร่างเป็นจระเข้ เพื่ออาละวาดฆ่าคนและสัตว์เลี้ยงในเมือง พลายชุมพลจึงอาสาออกปราบจระเข้จนสำเร็จ และได้ตัวเถรขวาดมาประหารชีวิต ความดีความชอบครั้งนี้ส่งผลให้พลายชุมพลได้บรรดาศักดิ์เป็นหลวงนายฤทธิ์ และนับจากนั้นเป็นตนมา ทุกคนก็อยู่กันอย่างมีความสุขตลอดไป

ไกรทอง ชาละวัน





ณ ถ้ำทอง ซึ่งเป็นที่อยู่ของจระเข้ ในนั้นมีลูกแก้ววิเศษที่ส่องแสงดุจเวลากลางวัน และเมื่อจระเข้ย่างกรายเข้ามาในถ้ำนี้ ก็จะกลายร่างเป็นมนุษย์ทันที ท้าวรำไพ จระเข้เฒ่าผู้ทรงศีลและไม่กินเนื้อ มีบุตรชื่อ ท้าวโคจร และมีหลานชื่อ ชาละวัน วันหนึ่ง ท้าวโคจรเกิดทะเลาะวิวาทเพื่อแย่งชิงความเป็นใหญ่กับท้าวพันตาและพญาพันวัง ทั้งสามต่อสู้กันอย่างดุเดือด จนสุดท้ายก็จบชีวิตลงทุกตัว ด้วยเหตุนี้เอง พญาชาละวัน บุตรของท้าวโคจร จึงได้ขึ้นเป็นใหญ่ปกครองถ้ำบาดาลแต่เพียงผู้เดียว และได้จระเข้สาวสองตัว คือ วิมาลา กับ เลื่อมลายวรรณ มาเป็นภรรยา และด้วยความลุ่มหลงในอำนาจ ชาละวันผู้มีนิสัยดุร้าย และต้องการกินเนื้อมนุษย์ จึงออกล่าเหยื่อด้วยความโหดเหี้ยมจนสร้างความวุ่นวายไปทั่วเมืองณ เมืองพิจิตร มีพี่น้องสาวสวยคู่หนึ่ง คือ พี่ตะเภาแก้ว และน้องตะเภาทอง ทั้งสองเป็นบุตรของเศรษฐีผู้มั่งคั่งในเมืองนี้ วันหนึ่งทั้งสองลงไปเล่นน้ำในคลองหน้าบ้าน กับบ่าวไพร่อีกหลายคน ระหว่างนั้นเอง เจ้าชาละวัน ซึ่งกลายร่างเป็นจระเข้อันธพาลก็ผ่านมาพบเจอนางตะเภาทองพอดี ชาละวันเกิดความลุ่มหลงในรูปของตะเภาทอง จึงคาบเอาตัวนางดำดิ่งลงไปยังถ้ำทองด้วยความหึกเหิมลำพองเมื่อนางตะเภาทองฟื้นขึ้นมา ก็ต้องตกตะลึงกับความสวยงามถ้ำ และแปลกใจที่ได้เห็นพญาชาละวันกลายร่างเป็นชายรูปงาม แต่นางตะเภาทองก็ไม่ได้สนใจในความงามของชาละวันแต่อย่างใด จนทำให้ชาละวันต้องใช้เวทมนตร์สะกดให้นางหลงรักและยอมเป็นภรรยาเมื่อนางวิมาลา และเลื่อมลายวรรณ ผู้เป็นภรรยารู้เข้า ก็เกิดความหึงหวงและไม่พอใจ แต่ก็ไม่อาจห้ามสามีได้ ฝ่ายท่านเศรษฐีก็เสียใจมากที่บุตรสาวของตนหายตัวไป และออกประกาศว่า หากใครพบศพนางตะเภาทอง และสามารถปราบจระเข้ร้ายตัวนี้ได้ จะมอบสมบัติของตนเองให้ครึ่งหนึ่ง และที่สำคัญจะยกนางตะเภาแก้วให้แต่งงานด้วยเมื่อข่าวนี้รู้ถึงหูของไกรทอง หนุ่มรูปงามจากเมืองนนทบุรี ซึ่งมีวิชาการปราบจระเข้ติดตัวมาจากอาจารย์คง ไกรทองจึงอาสาสมัครมาปราบเจ้าจระเข้ร้ายตัวนี้ก่อนหน้านั้นเอง เจ้าชาละวันได้ฝันว่า เกิดไฟลุกไหม้และน้ำท่วมทะลักเข้าถ้ำ ทั้งยังเกิดแผ่นดินไหวแปรปรวน ทันใดนั้นเอง ก็ปรากฏร่างเทวดามาฟันคอของตนจนขาดกระเด็น ชาละวันเกิดความกังวลเป็นอย่างมาก จึงได้นำความฝันไปเล่าให้ปู่ท้าวรำไพฟัง ด้วยเหตุนี้เอง เจ้าชาละวันจึงต้องจำศีลอยู่ในถ้ำนาน 7 วัน เพราะหากออกไปนอกถ้ำอาจจะพบกับภัยพิบัติร้ายจนถึงแก่ชีวิตรุ่งเช้า ไกรทองเริ่มตั้งพิธีบวงสรวงพร้อมร่ายคาถาจนทำให้เจ้าชาละวันเกิดอาการร้อนลุ่มจนต้องออกมาจากถ้ำ เพื่อขึ้นมาต่อสู้กับไกรทอง ไกรทองกระโดดขึ้นบนหลังจระเข้และใช้หอกสัตตโลหะแทงลงไปที่ตัวของชาละวัน อาคมของเขี้ยวเพชรจึงเสื่อมลง และทำให้เจ้าชาละวันบาดเจ็บสาหัสจนต้องหนีกลับไปที่ถ้ำไกรทองไม่ลดละความพยายาม จึงใช้เทียนระเบิดน้ำตามไปต่อสู้กับชาละวันต่อในถ้ำบาดาล ระหว่างทางก็ได้พบ กับนางวิมาลา และเกี้ยวพาราสีจนนางใจอ่อนยอมเป็นชู้ ไกรทองตามมาต่อสู้กับเจ้าชาละวันต่อในถ้ำ จนท้ายที่สุดเจ้าชาละวันก็เสียท่าและถูกแทงจนสิ้นใจตาย กลายเปลี่ยนเป็นจระเข้ยักษ์นอนตายอยู่กลางถ้ำทองไกรทองได้พานางตะเภาทองกลับขึ้นมาบนโลกมนุษย์ดังเดิม เมื่อเศรษฐีได้เจอลูกสาวอีกครั้งก็ดีใจมากที่ลูกสาวของตนยังมีชีวิตอยู่ เศรษฐีได้จัดงานแต่งงานให้แก่ไกรทองและนางตะเภาแก้ว พร้อมมอบสมบัติให้ครึ่งหนึ่งตามสัญญา แถมยังให้นางตะเภาทองเป็นภรรยาเพิ่มไปด้วยอีกคนแต่ถึงกระนั้น ใจของไกรทองก็ยังไม่ลืมนางวิมาลา จึงแอบกลับไปหาเพื่ออยู่กินด้วยกัน พร้อมทำพิธีให้นางยังคงเป็นมนุษย์ได้แม้อยู่นอกถ้ำทองนางตะเภาแก้วและนางตะเภาทอง จับได้ว่าสามีของตนแอบไปมาหาสู่นางจระเข้ จึงพากันไปเอาเรื่องจนนางวิมาลาทนไม่ไหว และหนีกลับถ้ำทองไปในที่สุด ไกรทองจึงต้องอำลาจากนางวิมาลาด้วยใจอาวรณ์ และกลับมาอยู่กับภรรยาทั้งสองดังเดิม

ปลาบู่ทอง




นานมาแล้ว มีชายหาปลาคนหนึ่งชื่อว่า “ ทารก ”(ทาระกะ) เขามีภรรยาสองคน คนแรกชื่อว่า “ ขนิษฐา ” คนที่สองชื่อว่า “ ขนิษฐี ” นางกนิษฐามีลูกสาวคนเดียวชื่อว่า “ เอื้อย ” ในขณะที่นางกนิษฐีมีลูกสาวสองคน คนแรกชื่อ “ อ้าย ” กับ “ อี่ ”ชายหาปลาไม่ชอบภรรยาหลวงและลูกสาวของนาง จึงมักจะดุค่าและบังคับให้ทำงานหนักทุกวันในขณะที่นางกนิษฐีผู้เป็นภรรยาน้อยกับลูกสาวสองคนใช้ชีวิตอยู่อย่างสบายเพราะไม่ต้องทำงานหนักเหมือนอย่าง แม่ลูกคู่นั้น อย่างไรก็ตามทั้งนางกนิษฐีและลูก ๆ ของนางก็ยังเกลียดนางกนิษฐาและเอื้อยอีกซ้ำยังอิจฉาริษยา และหาทางกลั่นแกล้งสองแม่ลูกอยู่ตลอดเวลา ทุก ๆ เช้า ชายหาปลาจะออกไปทอดแหหาปลาในแม่น้ำและจะมีภรรยาสองคนผลัดกันเป็นคนพายเรือ ให้คนละวันหลังจากได้ปลามากพอในแต่ละวันแล้วก็จะนำไปขายที่ตลาดก่อนกลับบ้านอยู่มาวันหนึ่ง นางกนิษฐาทำหน้าที่เป็นคนพายเรือให้สามีในขณะหาปลา แต่ว่าไม่ได้ปลาสักตัวเดียวนอกจากปลาบู่ทองตัวหนึ่งเท่านั้น ตลอดทั้งวันชายหาปลาทอดแหแล้วทอดอีกก็ได้แต่ปลาบู่ทองตัวเดิมมาทุกทีเขาปล่อยมันลงไปในน้ำแต่ไม่นานมันก็ติดแหขึ้นมาอีก เขาโมโหมาก แต่ก็ไม่รู้จะทำอย่างไรดี และทุกครั้งที่เขา ได้ปลาบู่ขึ้นมาภรรยาของเขาก็จะขอเขาไว้เพื่อเก็บไว้ให้ลูกของตนเลี้ยงเล่นแต่เขาจะโยนมันทิ้งไปโดยไม่แยแส คำขอร้องของภรรยาตนแต่ในที่สุดก็เกิดบันดาลโทสะอย่างแรงจนถึงขั้นตบดีนางและผลักนางลงน้ำไป ภรรยา ของเขาจึงจมน้ำตายเพราะว่ายน้ำไม่เป็นด้วยเหตุนี้ชายหาปลาจึงกลับบ้านเพียงลำพัง และพบเอื้อยกำลังรอแม่ของตนกลับมาอยู่ และเมื่อลูก สาวถามหาแม่เขาก็ปฏิเสธที่จะพูดอะไรออกไปเมื่อลูกสาวคะยั้นคะยออยู่ตลอดเวลาเขาจึงบอกว่าแม่ของนางไป อยู่ใต้น้ำและจะกลับมาในอีก 3 วัน และบอกให้ลูกสาวหยุดร้องไห้มิฉะนั้นแล้วแม่ของนางจะไม่กลับมาอีกเลย และถึงแม้ว่าเด็กสาวจะไม่เข้าใจว่าบิดาของตนพูดอะไร แต่ก็นึกเอาว่ามารดาของตนต้องประสบอันตรายอย่าง แน่นอน ดังนั้นนางจึงร้องไห้โฮออกมา ฝ่ายชายหาปลาเกรงว่าข่าวการหายไปของภรรยาตนจะแพร่หลาย จึงบังคับให้ลูกสาวหยุดร้องไห้ในทันทีและเริ่มทุบตีนาง เพื่อนบ้านเข้ามาขัดขวางและถามถึงภรรยาหลวงของเขา ชายหาปลาก็พูดโกหกไปว่าหนีตามชู้ไปแต่ก็ไม่มีใครเชื่อคำพูดของเขา เพราะทุกคนรู้ว่าชายหาปลาผู้นี้เกลียดภรรยาหลวงและรักภรรยาน้อยมากกว่า แต่ก็ไม่อาจจะช่วยอะไรได้มาก ได้แต่เพียงช่วยปลอบใจเอื้อยเท่านั้นรุ่งเช้าพ่อกับแม่เลี้ยงบอกให้นางทำงานบ้าน แต่นางยังเจ็บแผลที่ถูกเฆี่ยนตีอยู่จึงขอหยุดพักแต่ทั้งคู่ ไม่ยอมฟังนาง ตรงกันข้ามกับลูกสาวทั้งสองคนของแม่เลี้ยง ที่ไม่ต้องทำอะไรเลย พวกเขาเพียงแต่กินและ เล่นเท่านั้นเองหลังจากจมน้ำตาย นางกนิษฐาก็ไปเกิดเป็นปลาบู่ทอง ว่ายน้ำมาที่ท่าน้ำหน้าบ้านและรอเอื้อยด้วย ความรัก ปลาบู่ทองเล่าเรื่องทั้งหมดให้เอื้อยฟัง นางสงสารผู้เป็นแม่มาก นางจะนำอาหารมาให้ปลาผู้เป็น มารดาและพูดคุยกันเพื่อจะได้ลืมความทุกข์โศกทั้งปวง แต่ไม่นานนัก อ้ายก็รู้เรื่องเข้าจึงไปบอกให้แม่ตนเองทราบและแล้วผู้เป็นแม่ก็วางแผนฆ่าปลาบู่ทอง เสีย ในขณะที่เอื้อยได้รับคำสั่งให้ไปเลี้ยงวัวในทุ่งนา ปลาบู่ทองก็ถูกล่อไปฆ่ากินเป็นอาหาร ผู้เป็นแม่เลี้ยง ให้หมาและแมวกินก้างปลาบู่ทองหมดและโยนเกล็ดทิ้งไป ด้วยความสงสารเอื้อยจึงไปถามหมาและแมวซึ่ง ทั้งสองก็ปฏิเสธที่จะบอกความจริง เป็ดเข้ามาปลอบเอื้อยและมอบเกล็ดปลาบู่ทองให้นาง เอื้อยเสียใจมากที่ ได้รู้เรื่อง ดั้งนั้นนางจึงฝังเกล็ดปลาบู่ทองไว้ในป่า และตั้งอธิฐานขอให้แม่มาเกิดเป็นต้นมะเขือเปราะด้วยพรของเทวดาในทันใดนั้นก็เกิดต้นมะเขือเปราะงอกงามขึ้น นับแต่นั้นมาเอื้อยผู้มีความสุขก็จะมากราบไหว้ และพูดคุยกับต้นมะเขือเปราะทุกวัน แต่โชคร้าย อ้ายก็แอบมาเห็นอีจึงไปบอกแม่ของตน ผู้เป็นแม่จึงสั่งให้นางถอนต้นมะเขือเปราะทิ้ง แล้วนำผลมาทานทันที หลังจากกินแล้วก็โยนเม็ดมะเขือเปราะทิ้งไป เป็ดก็เก็บเม็ดมะเขือไว้ให้เอื้อยอีกเอื้อยเสียใจอย่างสุดซึ้ง นางจึงนำเม็ดมะเขือไปปลูกไว้ในป่าแล้วอธิฐาน ขอให้แม่เกิดเป็นต้นโพธิ์ เพื่อที่นางจะได้ กราบไหว้บูชา และด้วยพรของเทวดาต้นโพธิ์เงินโพธิ์ทองก็งอกงามขึ้นในบัดดลในกาลต่อมา พระเจ้าพรหมทัตเสด็จมาทรงเห็นต้นโพธิ์ก็ทรงอยากได้ไปปลูกในวังจึงให้ถามหาเจ้า ของ และเมื่อได้รับการกราบทูลให้ทรงทราบพระองค์ก็ทรงประสงค์ที่จะพบเอื้อย และเอื้อยก็ได้กราบทูลเรื่องราวทั้งหมดให้ทรงทราบ ด้วยความสงสารในตัวนาง พระองค์จึงตัดสินพระทัยที่จะอธิเษกสมรสกับเอื้อยและตั้งให้เป็นพระราชีนี และพระเจ้าพรหมทัตทรงถอนต้นโพธิ์ไม่ขึ้น แม้จะมีไพร่พลช่วยก็ตาม จึงทรงรับสั่งให้เอื้อยถอน มาให้พระองค์และเมื่อเอื้อยขออนุญาตมารดาของตน ก็สามารถถอนต้นโพธิ์ขึ้นได้โดยง่าย พระเจ้าพรหมทัต ทรงแปลกพระทัย และทรงดำริว่าเอื้อยมีบุญบารมีสมเป็นพระชาชินี จึงพาไปอยู่ในวังและทรงตั้งให้เป็น พระชาชินีของพระองค์ในขณะเดียวกัน แม่เลี้ยงและลูกสาวทั้งสองของนางก็เกิดความอิจฉาริษยาอย่างมากที่ได้รู้ข่าวว่า เอื้อยตอนนี้ได้กลายเป็นพระราชินีไปแล้ว จึงไปหายายเฒ่าผู้หนึ่งซึ่งก็ออกอุบายให้ส่งข่าวไปบอกราชินีเอื้อย ว่าบิดาของนางเจ็บหนักใกล้จะตายแล้ว ทันทีที่ได้รับข่าวราชินีเอื้อยผู้กตัญญูก็รีบกลับมาเยี่ยมบิดาที่บ้าน แต่ก่อนที่จะเข้าบ้าน ผู้เป็นแม่เลี้ยงบอกให้นางถอดเครื่องทรงราชินีออกแล้วให้ไปอาบน้ำก่อนจึงค่อยไปพบบิดา ในขณะเดินเข้าไปในห้องด้านใน พระราชินีผู้น่าสงสารก็ตกลงไปในกระทะน้ำเดือดที่นางแม่เลี้ยงจอมริษยา ซ่อนไว้เบื้องล่าง ยังผลให้พระราชินีสิ้นพระชนม์ในทันที จากนั้นอ้ายก็รีบแต่งเครื่องทรงพระราชินีและกลับ วังโดยปลอมเป็นเอื้อย นางเข้าไปพบพระราชาผู้ซึ่งแสดงอาการไม่ค่อยจะเชื่อว่าเป็นเอื้อย แต่อ้ายก็ใช้คาถา ที่ยายเฒ่าให้มาเสกให้พระราชาอยู่ใต้อำนาจของตน แม้กระนั้นพระราชาก็ยังคงสงสัยอยู่ดีว่าทำไมต้นโพธิ์ จึงดูเหี่ยวเฉาไม่มีชีวิตชีวา หลังจากถูกฆาตกรรมแล้วราชินีเอื้อยก็ไปเกิดเป็นนกแขกเต้า ด้วยความรักและห่วงใยในพระราชา จึงบินมาหาพระองค์และกราบทูลให้พระองค์ทราบเรื่องราวทั้งหมด หลังจากสัตว์ผู้น่าสงสารกราบทูลเรื่อง ราวให้ทรงทราบ พระองค์ก็ทรงเลี้ยงดูนกแขกเต้าไว้ในกรงทอง และทรงพูดคุยด้วยเสมอ และแล้ววันหนึ่ง ราชินีปลอมอ้ายก็แอบมารู้จนได้ ดังนั้นในขณะที่พระราชาเสด็จออกป้าเพื่อคล้องช้างเผือกมาสู่บารมี ราชินี ปลอมก็จับนกแขกเต้าผู้น่าสงสารถอนขนจนหมดแล้วส่งไปให้แม่ครัวแกง นกแขกเต้าแกล้งทำเป็นนอนตาย แม่ครัวเลยไม่สนใจปล่อยมันไว้ในครัวรอเวลาที่จะทำแกงนกถวายพระราชินีในตอนเย็นเจ้านกแขกเต้าผู้ปราศจากขนและทุกข์ทรมาน จึงสบโอกาสหนีเข้าไปซ่อนตัวอยู่ในโพรงหนู เมื่อ หานกที่นอนตายอยู่ไม่พบและกลัวจะมีความผิด แม่ครัวจึงไปหาซื้อนกอื่นมาแกงถวาย พระราชินีแทน ฝ่าย แม่ครัวได้รับรางวัลตอบแทนเป็นผ้าสะไบเจ้านกแขกเต้าผู้น่าสงสารอาศัยอยู่หนู จนกระทั่งขนขึ้นเต็มตัวก็บอกลาหนู ซึ่งก็อาสาพาไปส่งถึงชายป่าในขณะท่องเที่ยวไปในป่าอยู่ตามลำพังก็เกือบจะถูกงูกินไปแล้ว โชคดีที่นกใหญ่มาจับงูกินเสียก่อน และแล้วนกแขกเต้าก็มาพบพระฤๅษีผู้ซึ่งเกิดความสงสารก็เลยช่วยชุบนกแขกเต้าให้กลายเป็นหญิงสาวสวย พระฤๅษีก็เลี้ยงดู เอื้อยอย่างลูกสาวของตน แต่ก็สังเกตเห็นว่าลูกบุญธรรมของตนดูจะเหงาหงอยอยู่ตลอดเวลา ดังนั้นท่านจึงวาดรูปขึ้นหลาย ๆ รูปแล้วให้เอื้อยเลือกเอารูปเดียว หลังจาเลือกแล้วท่านก็จะเสกให้เป็นคน เอื้อยจึงเอารูปเด็กชายมอบให้ฤๅษีใช้คาถาเสกให้เป็นคนเพื่อที่นางจะได้เลี้ยงดูเป็นบุตรชาย ท่านฤๅษีจึงตั้งชื่อเด็กชายนั้นว่า “ ลบ ” ผ่าน ไปหลายปี เจ้าลบเกิดความสงสัยว่าพ่อเป็นใคร เอื้อยจึงเล่าเรื่องราวต่างๆ ให้ฟัง ทำให้ลบร้องขอที่จะเข้าไปในวังเพื่อกราบทูลพระเจ้าพรหมทัตให้ทรงทราบความ จริง เอื้อยได้ร้อยพวงมาลัยฝากไปถวายพระเจ้าพรหมทัตด้วย ลบเดินทางมาถึงพระราชวัง ก็พยายามหาทางจนได้โอกาสเข้าเฝ้าพระเจ้าพรหมทัตและถวายพวงมาลัย พระเจ้าพรหมทัตเห็นฝีมือร้อยมาลัยก็จดจำได้ว่าเป็นฝีมือของเอื้อย ลบจึงกราบทูลเรื่องราวของเอื้อยถวาย พระเจ้าพรหมทัตดีพระทัยที่เอื้อยยังมีชีวิตอยู่ จึงเสด็จไปรับเอื้อยกลับคืนสู่พระราชวังเมื่ออ้ายทราบว่าเอื้อยได้กลับมาที่พระราชวังแล้วอ้ายกลัวความผิดจึงชิงดืมยาพิษฆ่าตัวตายไปก่อน ส่วนขนิษฐีและอี่ ก็ถูก พระเจ้าพรหมทัต ลงโทษด้วยการขับออกนอกวังกลับบ้านไป และให้ถือศีลบำเพ็ญความดีตลอดชีวิต เอื้อยและต้นโพธิ์เงินโพธิ์ทองก็มีชีวิตที่สงบสุข นับจากนั้นเป็นต้นมา

สังข์ทอง




ท้าวยศวิมลมีมเหสีชื่อนางจันท์เทวี มีสนมเอกชื่อนางจันทาเทวี ไม่มีโอรสธิดา จึงบวงสรวงและรักษาศีลห้าเพื่อขอบุตร และประกาศแก่พระมเหสีและนางสนมว่าถ้าใครมีโอรสก็จะมอบเมืองให้ครองอยู่มานางจันท์เทวีทรงครรภ์ เทวบุตรจุติมา เป็นพระโอรสของนาง แต่ประสูติมาเป็นหอยสังข์ นางจันทาเทวีเกิดความริษยาจึงติดสินบนโหรหลวงให้ทำนายว่าหอยสังข์จะทำให้บ้านเมืองเกิดความหายนะ ท้าวยศวิมลหลงเชื่อนางจันทาเทวี จึงจำใจต้องเนรเทศนางจันท์เทวีและหอยสังข์ไปจากเมืองนางจันท์เทวีพาหอยสังข์ไปอาศัยตายายช่าวไร่ ช่วยงานตายายเป็นเวลา 5 ปี พระโอรสในหอยสังข์แอบออกมาช่วยทำงาน เช่น หุงหาอาหาร ไล่ไก่ไม่ให้จิกข้าว เมื่อนางจันท์เทวีทราบก็ทุบหอยสังข์เสียในเวลาต่อมา พระนางจันทาเทวีได้ไปว่าจ้างแม่เฒ่าสุเมธาให้ช่วยทำเสน่ห์เพื่อที่ท้าวยศวิมลจะได้หลงอยู่ในมนต์สะกด และได้ยุยงให้ท้าวยศวิมลไปจับตัวพระสังข์มาประหาร ท้าวยศวิมลจึงมีบัญชาให้จับตัวพระสังข์มาถ่วงน้ำ แต่ท้าวภุชงค์(พญานาค) ราชาแห่งเมืองบาดาลก็มาช่วยไว้ และนำไปเลี้ยงเป็นบุตรบุญธรรม ก่อนจะส่งให้นางพันธุรัตเลี้ยงดูต่อไปจนพระสังข์มีอายุได้ 15 ปีบริบูรณ์วันหนึ่ง นางพันธุรัตได้ไปหาอาหาร พระสังข์ได้แอบไปเที่ยวเล่นที่หลังวัง และได้พบกับบ่อเงิน บ่อทอง รูปเงาะ เกือกทอง(รองเท้าทองนั้นเอง) ไม้พลอง และพระสังข์ก็รู้ความจริงว่านางพันธุรัตเป็นยักษ์ เมื่อพระสังข์พบเข้ากับโครงกระดูก จึงได้เตรียมแผนการหนีด้วยการสวมกระโดดลงไปชุบตัวในบ่อทอง สวมรูปเงาะ กับเกือกทอง และขโมยไม้พลองเหาะหนีไปเมื่อนางพันธุรัตทราบว่าพระสังข์หนีไป ก็ออกตามหาจนพบพระสังข์อยู่บนเขาลูกหนึ่ง จึงขอร้องให้พระสังข์ลงมา แต่พระสังข์ก็ไม่ยอม นางพันธุรัตจึงเขียนมหาจินดามนตร์ที่ใช้เรียกเนื้อเรียกปลาได้ไว้ที่ก้อนหิน ก่อนที่นางจะอกแตกตาย ซึ่งพระสังข์ได้ลงมาท่องมหาจินดามนตร์จนจำได้ และได้สวมรูปเงาะออกเดินทางต่อไปพระสังข์เดินทางมาถึงเมืองสามล ซึ่งมีท้าวสามลและพระนางมณฑาปกครองเมือง ซึ่งท้าวสามลและพระนางมณฑามีธิดาล้วนถึง 7 พระองค์ โดยเฉพาะ พระธิดาองค์สุดท้องที่ชื่อ รจนา มีสิริโฉมเลิศล้ำกว่าธิดาทุกองค์ จนวันหนึ่ง ท้าวสามลได้จัดให้มีพิธีเสี่ยงมาลัยเลือกคู่ให้ธิดาทั้งเจ็ด ซึ่งธิดาทั้ง 6 ต่างเสี่ยงมาลัยได้คู่ครองทั้งสิ้น เว้นแต่นางรจนาที่มิได้เลือกเจ้าชายองค์ใดเป็นคู่ครอง ท้าวสามลจึงได้ให้ทหารไปนำตัวพระสังข์ในร่างเจ้าเงาะซึ่งเป็นชายเพียงคนเดียวที่เหลือในเมืองสามล ซึ่งนางรจนาเห็นรูปทองภายในของเจ้าเงาะ จึงได้เสี่ยงพวงมาลัยให้เจ้าเงาะ ทำให้ท้าวสามลโกรธมาก เนรเทศนางรจนาไปอยู่ที่กระท่อมปลายนากับเจ้าเงาะท้าวสามลคิดจะกำจัดเจ้าเงาะทุกวิถีทาง จึงได้ให้เขยทั้งหมดไปจับปลามาให้ได้คนละร้อยตัว พระสังข์จึงได้ถอดรูปเงาะออก และท่องมหาจินดามนตร์จนได้ปลามานับร้อย ส่วนหกเขยจับปลาไม่ได้เลยสักตัว จึงเข้ามาขอพระสังข์เพราะคิดว่าเป็นเทวดา พระสังข์ก็ยินดีให้ แต่ต้องแลกกับปลายจมูกของหกเขยด้วยต่อมา ท้าวสามลได้ให้เขยทั้งหมดไปหาเนื้อมาให้ได้คนละร้อยตัว พระสังข์ก็ใช้มหาจินดามนตร์จนได้เนื้อมานับร้อย ส่วนหกเขยก็หาไม่ได้อีกตามเคย และได้เข้ามาขอพระสังข์ พระสังข์ก็ยินดีให้ แต่ต้องแลกกับปลายหูของหกเขยด้วย  ณ สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ของพระอินทร์ อาสน์ที่ประทับของพระอินทร์เกิดแข็งกระด้าง อันเป็นสัญญาณว่ามีผู้มีบุญกำลังเดือดร้อน จึงส่องทิพยเนตรลงไปพบเหตุการณ์ในเมืองสามล จึงได้แปลงกายเป็นกษัตริย์เมืองยกทัพไปล้อมเมืองสามล ท้าให้ท้าวสามลออกมาแข่งตีคลีกับพระองค์ หากท้าวสามลแพ้ พระองค์จะยึดเมืองสามลเสียท้าวสามลส่งหกเขยไปแข่งตีคลีกับพระอินทร์ แต่ก็แพ้ไม่เป็นท่า จึงจำต้องเรียกเจ้าเงาะให้มาช่วยตีคลี ซึ่งนางรจนาได้ขอร้องให้สามีช่วยถอดรูปเงาะมาช่วยตีคลี เจ้าเงาะถูกขอร้องจนใจอ่อน และยอมถอดรูปเงาะมาช่วยเมืองสามลตีคลีจนชนะในที่สุดหลังจากเสร็จภารกิจที่เมืองสามลแล้ว พระอินทร์ได้ไปเข้าฝันท้าวยศวิมล และเปิดโปงความชั่วของพระนางจันทาเทวี พร้อมกับสั่งให้ท้าวยศวิมลไปรับพระนางจันท์เทวีกับพระสังข์มาอยู่ด้วยกันดังเดิม ท้าวยศวิมลจึงยกขบวนเสด็จไปรับพระนางจันท์เทวีกลับมา และพากันเดินทางไปยังเมืองสามลเมื่อตามหาพระสังข์ท้าวยศวิมลและพระนางจันท์เทวีปลอมตัวเป็นสามัญชนเข้าไปอยู่ในวัง โดยท้าวยศวิมลเข้าไปสมัครเป็นช่างสานกระบุง ตะกร้า ส่วนพระนางจันท์เทวีเข้าไปสมัครเป็นแม่ครัว และในวันหนึ่ง พระนางจันท์เทวีก็ปรุงแกงฟักถวายพระสังข์ โดยพระนางจันท์เทวีได้แกะสลักชิ้นฟักเจ็ดชิ้นเป็นเรื่องราวของพระสังข์ตั้งแต่เยาว์วัย ทำให้พระสังข์รู้ว่าพระมารดาตามมาแล้ว จึงมาที่ห้องครัวและได้พบกับพระมารดาที่พลัดพรากจากกันไปนานอีกครั้งหลังจากนั้น ท้าวยศวิมล พระนางจันท์เทวี พระสังข์กับนางรจนาได้เดินทางกลับเมืองยศวิมล ท้าวยศวิมลได้สั่งประหารพระนางจันทาเทวี และสละราชสมบัติให้พระสังข์ได้ครองราชย์สืบต่อมา