
ในกาลก่อน มีเศรษฐีคนหนึ่งมีชื่อเรียกกันว่า "นนท์" ตั้งบ้านเรือนอยู่ในบ้านชื่อว่า"สนิทคาม" เป็นผู้ไม่มีลูกเลยครั้งหนึ่งนนท์เศรษฐีนั้นรำพึงอยู่ในใจว่า "เราไม่มีลูกกับเขาเลยจำเราจะทำบุญแล้วอธิษฐานขอลูก บางทีจะสมประสงค์บ้าง" คิดดังนั้นแล้วก็หากล้วยได้สิบสองผลทูลศรีษะไปวัดถวายกล้วยนั้นแก่พระแล้วตั้งความปรารถนาขอลูก ต่อนั้นมาภริยาเศรษฐีนั้นก็มีลูกหญิง เป็นลำดับกันไปถึงสิบสองคน (ตามเรื่องที่เล่ากันนางคนสุดท้องชื่อนางเภา) สองคนผัวเมียได้เลี้ยงลูกหญิงทั้งสิบสองนั้น ทรัพย์สมบัติของตนร่อยหรอลงทุกทีจนสิ้นเนื้อประดาตัวบ่าวไพ่ก็พากันหนีหายไปตามกัน ในที่สุดสองผัวเมียนั้นก็ถึงแก่ยากจน ภายหลังนนท์เศรษฐีคิดขัดใจว่าเป็นเพราะลูกหญิงสิบสองคนนี้เองทำให้ตนยากจนลง จึงเอาลูกหญิงทั้งสิบสองคนนั้นใส่เกวียนพาไปปล่อยเสียในป่า แล้วก็ขับเกวียนลอบหนีกลับมาบ้านเรือนโดยมิให้รู้ตัวส่วนนางสิบสองคนเมื่อถูกปล่อยไว้ในป่าเช่นนั้น ต่างก็เที่ยวตามหาบิดาไปในที่ต่างๆ จนไปถึงสวนของ นางยักษ์ชื่อว่า สนธมารขณะนั้นนางยักษ์สนธมารมาเที่ยวเล่นอยู่ในสวน ครั้นได้เห็นนางสิบสองเดินซัดเซมาดังนั้น ก็มีจิตรักใคร่ จึงพาไปเลี้ยงไว้เหมือนน้องสาวของตัวทั้งสิบสองคนวันหนึ่ง พี่สาวใหญ่ได้เห็นนางยักษ์กินเนื้อคน จึงบอกแก่พวกน้องๆ ว่า "พวกเราพากันมาอยู่ในสำนักของนางยักษ์เป็นแน่" แล้วก็เล่าความลับที่ตนได้เห็นมานั้นให้น้องสาวฟังทุกประการ พวกน้องสาวได้ฟังก็ตกในกลัว ครั้นเวลานางยักษ์ไม่อยู่ก็พากันหนีไปทั้งสิบสองคน เมื่อนางยักษ์กลับมาไม่เห็นนางสิบสองก็ออกติดตามไป ส่วนนางสิบสองนั้นหนีไปได้ไม่สู้ไกลนัก ก็เห็นนางยักษ์ตามมา ต่างตกใจกลัว พากันวิ่งมาพบช้าง จึงอ้อนวอนช้างขอให้ช่วย ช้างจึงหาที่ซ่อนให้นางทั้งสิบสองคน นางยักษ์เที่ยวตามหานางสิบสองไม่พบครั้นมาพบช้างนางจึงถามว่า "ช้าง เจ้าเห็นนางสิบสองมาทางนี้บ้างหรือไม่" ช้างตอบว่า "ไม่เห็น" นางยักษ์ก็กลับไป เมื่อนางสิบสองเห็นนางยักษ์ไปพ้นแล้วจึงออกจากที่ซ่อนแล้วพากันหนีต่อไป ไม้ช้านางยักษ์ก็ตามมาอีก นางสิบสองวิ่งมาพบม้า ม้าก็หาที่ซ่อนให้เช่นเดียวกัน นางยักษ์ไม่เห็นจึงถามม้าว่า "ม้า เจ้าเห็นนางสิบสองบ้างหรือไม่" ม้าตอบว่า "ไม่เห็น" นางยักษ์ก็กลับไปอีกฝ่ายนางสิบสองเห็นนางยักษ์ไปพ้นแล้วก็ออกจากที่ซ่อน พากันหนีต่อไป และนางยักษ์ก็ตามมาอีกนางสิบสองวิ่งมาพบโค โคก็หาที่ซ่อนให้เช่นเดียวกัน เมืองนางยักษ์ไม่เห็นก็ถามโคว่า "โค เจ้าเห็นนางสิบสองบ้างหรือไม่" โคตอบว่า "ไม่เห็น" นางยักษ์กลับไปอีกครั้นแล้วนางสิบสองก็ออกจากที่ซ่อน เที่ยวดั้นด้นหนีไปตามบุญตามกรรมจนถึงเมืองกุตารนคร เห็นต้นไทรใหญ่ต้นหนึ่งอยู่ริมสระใกล้กับพระนคร ต่างก็พากันขึ้นไปนั่งพักอยู่บนต้นไทรนั้นครั้งนั้นเจ้าเมืองกุตารนครทรงพระนามว่าพรเจ่ารถสิทธ์ราชพระองค์ได้ประทานหม้อน้ำทองแก่นางค่อมทาสีคนหนึ่งหรับตักน้ำสรงถวาย ครั้นถึงเวลานางค่อมก็ถือหม้อน้ำทองไปยังสระนั้นรัศมีของนางสอบสองซึ่งตนี่งอยู่บนต้นไทรนั้น ฉายส่องสว่างลงมาถูกตัวนางค่อมแลดูงามเหมือนแสงทอง นางค่อมจึงสำคัญตัวว่านางมีบุญมาสีกายเป็นสีทองงดงามถึงปานนั้น ไม่สมควรจะเป็นหญิงตักน้ำเลย ทำให้นางทะนงตัวถึงแก่โกรธแค้นทุบหม้อน้ำทองนั้นบุบสลายสิ้น ครั้นนางรู้สึกตนเห็นหม้อน้ำนั้นแตกเสียแล้ว จึงกลับมากราบทูลพระเจ้ารถสิทธิ์ พระเจ้ารถสิทธ์ก็ประทานหม้อน้ำเงินให้ใหม่ นางค่อมก็นำไปยังสระนั้น และเมื่อเห็นตัวนางงดงามเหมือนคราวก่อนก็บันดาลโทสะขึ้นมา ทุบหม้อน้ำเงินนั้นเสียอีก แล้วกลับมากราบทูลพระเจ้ารถสิทธ์ พระเจ้ารถสิทธ์ก็ประทานหม้อน้ำทำด้วยหนังให้ใหม่ นางค่อมก็ไปยังสระ เกิดเหตุเช่นนั้นอีก แต่คราวนี้นางทุบหม้อนั้นเท่าไรก็ไม่แตกเพราะหม้อนั้นเป็นหนัง ส่วนนางสิบสองซึ่งอยู่บนต้นไทรแลเห็นนางค่อมทำดังนั้น ก็อดกลั้นหัวเราะไม่ได้ จึงพากันหัวเราะขึ้น นางค่อมได้ยินเสียงหัวเราะจึงเงยหน้าขึ้นไปดู แลเห็นนางสิบสองคนนั่งอยู่บนต้นไทรใหญ่ มีรัศมีงดงาม ก็มีความประหลาดใจ รีบกลับมากราบทูลพระเจ้ารถสิทธ์ให้ทรา[ พระเจ้ารถสิทธ์ได้ทรงทราบก็ประหลาดพระทัย จึงเสด็จออกจากพระนครพร้อมด้วยราชบริพาร ครั้นได้ทอด พระเนตรเห็นนางสิบสองมีรูปโฉมงดงามดังนั้น มีพระทัยยินดีเป็นอันมากตรัสเรียกนางสิบสองให้ลงมาจากต้นไทร ทรงซักไซร้ไต่ถามทราบความว่า นางสิบสองคนนั้นยังมิได้มีสามีก็โปรดทรงสั่งให้นำวอมารับเข้าไปยัง พระราชวังทั้งสิบสองคน แล้วให้จัดการอภิเษกให้เป็นมเหสี มีการมหรสพสมโภชเอิกเกริกทั่วพระนคร และนางสิบสองนั้นก็ได้เป็นมเหสี เป็นที่โปรดปรานของพระเจ้ารถ สิทธ์เจ้าเมืองกุตารนครตั้งแต่นั้นมาในมิช้านางยักษ์สนธมารทราบว่า นางสิบสองซึ่งหนีไปนั้นได้เป็นมเหสีของพระเจ้ารถสิทธ์ผู้ครองเมืองกุตารนคร ก็มีความเคืองแค้นยิ่งนัก จึงสำแดงฤทธิ์รีบออกจากเมืองคชปุระไปยังเมืองกุตารนครในทันใดนั้น ครั้นถึงต้นไทร ใหญ่ริมสระ นางจึงแปลงกายเป็นหญิงมนุษย์ มีรูปโฉมสะสวยยิ่งนัก มีรัศมีเปล่งปลั่งดังพระจันทร์เต็มดวง แล้วก็ขึ้นไปนั่งบนต้นไทร ครั้นนางค่อมไปตักน้ำที่สระนั้น แลเห็นรัศมีฉายลงเช่นก่อน แลดูขึ้นไปบนต้นไทรเห็นนางแปลงรูปงดงามเช่นนั้นก็รีบกลับไปกราบทูลพระเจ้ารถสิทธ์ว่า มีนางเทพธิดามาสถิตอยู่บนต้นไทรนั้นอีกพระเจ้ารถสิทธ์ได้ทรงทราบ ก็รีบเสด็จไปพร้อมด้วยราชบริพารครั้นได้ทอดพระเนตรเห็นนางมรูปโฉมงดงามยิ่งกว่านางสิบสองนั้นอีก ก็มีพระทัยยินดี ตรัสเรียกนางให้ลงมาข้างล่างแล้วตรัสถามเรื่องราวของนาง ฝ่ายนางสนธมารก็แกล้งทูลด้วยมารยาว่า เป็นหญิงพลัดบ้านเมืองมาและยังมิได้มีสามี ได้ทรงฟังก็ยินดียิ่งนัก มีรับสั่งให้เจ้าพนักงานจัดวอทองออกมารับนางเข้าไปยังพระราชวัว พร้อมด้วยกระบวนแห่เป็นเกียรติยศแล้วให้จัดการอภิเษกให้นางเป็นอัครมเหสี และโปรดปรานยิ่งกว่านางสิบสองนั้นอีก นางสนธมารนั้นมีใจปองร้ายนางสิบสองอยู่เสมอ ครั้นอยู่มามิช้าก็แกล้งทำเป็นไข้นอนครวญครางอยู่บนแท่นบรรทมนาง กำนัลทั้งหลายเห็นอาการดังนั้นก็พากันไปกราบทูลพระเจ้ารถสิทธ์ พระเจ้ารถสิทธ์รีบเสด็จไปยังห้องของนาง แล้วตรัส ถามด้วยความร้อนพระทัยว่า "น้องเป็นอะไรไป" นางสนธมารแสร้งทูลว่า "หม่อมฉันเป็นไข้" พระเจ้ารถสิทธ์ทรงพระวิตกมาก มีรับสั่งให้หาหมอมาตรวจอาการและรักษาโรคนางให้หายโดยเร็ว พวกหมอต่างพากันลนลานจัดการประกอบโอสถถวาย หลายขนาน และยักย้ายรักษาด้วยวิธีต่างๆ เต็มความสามารถ แต่ก็ไม่อาจรักษาโรคนางให้หายได้ ครั้นนางสนธมารสังเกตอาการพระสามีเห็นว่าหลงรักนางจนงวยงงเต็มที่แล้ว จึงแสร้งกราบทูลว่า "หม่อมฉันนี้เจ็บมาก จะเอาโอสถขนานใดๆ มารักษาคงไม่หาย ถ้าโปรดควักลูกตานางสิบสองเสียได้เมื่อไรแล้ว นั่นแหละจะหายได้เป็นแน่แท้" พระเจ้ารถสิทธ์ได้ทรงฟังดังนั้นก็ยิ่งสงสาร ด้วยความงวยงงหลงรักนางยักษ์เป็นกำลัง ก็ทรงยอมตามคำของนางสนธมาร ตรัสเรียกนางสิบสองเข้ามาเฝ้า แล้งบังคับให้มานั่งเรียงกันเป็นลำดับส่วนนางสิบสองนั่งพร้อมเพียงกันเช่นนั้น ก็ลุกขึ้นไป ควักลูกตาทั้งคู่ของนางสิบสองเสียทั้งสิ้น เว้นไว้แต่นางสุดท้อง นางควักได้แต่ข้างเดียว จึงเหลืออยู่อีกข้างหนึ่งครั้นแล้ว นางเอาลูกตาไปให้นางเมรีผู้เป็นธิดาของนาง ซึ่งอยู่ที่เมืองคลปุรนคร (นางเมรีนั้นบางแห่งก็เรียกว่าเมรี) พอนางควัก ลูกตานางสอบสองได้สมหวังแล้ว นางก็หายประชวรโดยเร็ว ทำให้พระสามีทรงยินดีเป็นลันพ้นเมื่อพระเจ้ารถสิทธ์เห็นนางสิบสองตาบอดเช่นนั้นแล้วจึงรับสั่งให้อำมาตย์พาไปขังไว้ในอุโมงค์แล้วให้ปิดประตูอุโมงค์เสีย นางสิบสองถูกขังอยู่ในอุโมงค์นั้นมีครรภ์ไปทุกนาง เมื่อครบกำหนดนางผู้พี่ทั้งสิบเอ็ดก็คลอดบุตรออกมาเป็นลำดับกัน แต่ด้วยความอดอยากเหลือที่จะทนทาน ทำให้เด็กที่คลอดมาตาย นางได้ฉีกศพเนื้อบุตรของตนออกแจกกันกิน เพื่อประทังความหิวไป วันละเล็กละน้อยดังนี้ตลอดมา ต่างประทังชีวิตอยู่ดัวยศพเนื้อบุตรดุจนางยักษ์มารด้วยกันทั้งนั้น ส่วนนางน้องสุดท้อง ตาบอดข้างเดียวมีความฉลาด และเมตตา ครั้นได้ส่วนแบ่งศพเนื้อบุตรของนางผู้พี่เหล่านั้นแจกให้ ก็ไม่กิน เก็บไว้ ครั้นต่อมามิช้า นางผู้พี่ขอเนื้อบุตรของนางกิน นางก็เอาเนื้อบุตรของพี่ แจกให้พี่กินวันละเล็กละน้อย และนางอุตส่าห์ ถนอมเลี้ยงบุตรของนางจนเติบใหญ่ ให้ชื่อว่า "รถเสน" หรือ "พระรถ"ครั้นพระรถเสนเจริญวัยขึ้นถามมารดาว่า "แม่จ๋า ห้องที่เราอยู่นี้เรียกว่าอะไร" มารดาตอบว่า "เขาเรียกว่าอุโมงค์ บิดาของเจ้าสั่งให้ขุดไว้ แล้วให้แม่กับพี่ของแม่ผู้เป็นป้าของเจ้ามาอยู่ในอุโมงค์นี้" พระรถเสนได้ฟังคำมารดาเล่าดังนั้น รู้สึกสงสารและเสียใจคิดว่าเป็นหน้าที่ของตนจะต้องหาเลี่ยงมารดาและป้า จึงเกิดมีความมานะพยายามหาหนทางเล็ดลอดออกจากประตูอุโมงค์จนได้ราวกับว่า มีแสงสว่างสองให้เห็นทาง ต่อมาพระรถเสนเตร็ดเตร่ไปเที่ยวเล่นในที่ต่างๆ เห็นศาลแห่งหนึ่งมีคนนั่งอยู่เป็นกลุ่ม จึงเข้าไปใกล้ เห็นเด็กเลี้ยงโคอยู่ที่นั่นหลายคน ส่วนพวกเด็กเลี้ยงโคเหล่านั้น เห็นพระรถเสนแปลกหน้ามา ก็ชักชวนให้ไปเที่ยวเล่นด้วยกัน แล้วพาไปเที่ยวสังเวียนชนไก่ดูไก่ชนกันอย่างสนุกสนาน ในไม่ช้าก็เกิดท้าต่อรองกันขึ้นว่าไก่ตัวไหนจะแพ้ชนะ พระรถเสนจึงกล่าวท้าว่า "ถ้าเราแพ้พวกเจ้าเราจะให้ทองและแก้วเครื่องประดับ ถ้าพวกเจ้าแพ้เราเราจะขอข้าวห่อสิบสองห่อเท่านั้น" พวกเด็กเลี้ยงโคเหล่านั้นก็ตกลงรับต่อรองด้วย แต่ในที่สุดก็แพ้ พระรถเสนต้องเสียข้าวห่อสิบสองห่อให้แก่พระรถเสนตามสัญญา เมื่อพระรถเสนได้ข้าวห่อแล้วก็นำไปมอบให้แก่มารดาที่อยู่ในอุโมงค์ แล้วกล่าวว่า "แม่จ๋าแม่จงเอาข้าวห่อเหล่านี้ไปรับประทาน และแจกให้แก่ป้าสิบเอ็ดคนนั้นด้วยเถิด" มารดาพระรถเสน ก็รับข้าวห่อไป เมื่อป้าเหล่านั้นได้รับข้าวห่อแล้วก็กินกันอิ่มหนำสำราญแล้วก็กล่าวขอบใจให้ศีลให้พรด้วยความปีติยินดี ตั้งแต่นั้นมาพระรถเสนก็เที่ยวเล่นต่อรองกับคนทั้งหลายนำข้าวห่อ มาเลี้ยงมารดาและป้าทั้งสิบเอ็ดคนเป็นนิตย์ทุกๆ วันครั้นต่อมาวันหนึ่ง พระรถเสนรำพึงว่า "ตั้งแต่เราเกิดมาไม่เคยเห็นบิดาของเราเลย จะต้องถามดูให้รู้แน่" คิดเช่นนี้แล้วจึง ไปถามมารดาว่า "แม่จ๋า! บิดาของลูกชื่ออะไร และอยู่ที่ไหน" มาดาตอบว่า "บิดาของลูกชื่อว่า พระรถสิทธราช ครองเมืองกุตารนครนี้" ฝ่ายพระรถเสนได้ฟังดังนั้นก็ดีใจ แต่หาได้ทะนงตนเป็นลูกท้าวพญาไม่ อุตสาห์เลี้ยงมารดาและป้าด้วยเที่ยวเล่นต่อรองกับคนทั้งหลาย จนมีชื่อเสียงลือชาปรากฏทั่วไป ความทราบถึงพระกรรณของพระจ้ารถสิทธ์ผู้เป็นพระราชบิดา พระองค์จึงรับสั่งให้อำมาตย์ไปนำ พระรถเสนกุมารเข้ามาเฝ้า พวกอำมาตย์ก็รีบพากันไปพาพระรถเสนกุมาร แล้วนำมาเฝ้า พระรถเสนกุมารคลานเข้าไปหน้าพระที่นั่ง ถวายบังคมพระราชบิดาแล้วก็หมอบนิ่งอยู่ พระเจ้ารถสิทธิ์ทอดพระเนตรเห็นพระรถเสนกุมารเข้ามาเฝ้าก็ดีพระทัย จึงตรัสว่า "เขาลือกันว่าเจ้ามีฝีมือในการเล่นต่างๆ เราอยากทดลองดู เจ้าจงมาเล่นสกากับเรา" พระรถเสนกุมารกราบทูลว่า "ถ้าข้าพระบาทแพ้พระองค์แล้ว จะยอมถวายตัวเป็นข้ารับใช้ ถ้าพระองค์แพ้ข้าพระบาทแล้ว ข้าพระบาทขอพระราชทานข้าวห่อสิบสองห่อเท่านั้น" พระเจ้ารถสิทธ์ทรงยอมรับทำสัญญาแล้วก็ทรงเล่นสกากับพระรถเสนกุมาร ทรงเล่นครั้นแรกแพ้ทรงแก้ ครั้งที่สองก็แพ้อีก พระองค์จึงพระราชทานข้าห่อแก่พระรถเสนกุมารสิบสองห่อตามสัญญา ฝ่ายรถเสนกุมารรับข้าวห่อมาแล้ว ก็ถวายบังคมลา พระเจ้ารถสิทธ์ กลับไปหามารดายังอุโมงค์ เอาข้าวห่อให้มารดาแล้วกล่าวว่า "ลูกไปเล่นสกากับพระเจ้าแผ่นดินชนะ ได้พระราชทานข้าวห่อนี้มาคงจะมีรสอร่อยมาก แม่จงเอาไปรับประทานและแจกให้ป้าทั้งสิบเอ็ดคนเถิด" ฝ่ายมารดาก็รับเอาข้าห่อนั้นไปด้วยความยินดี ให้ศีลให้พรลูกด้วยประการต่างๆครั้นรุ่งขึ้นพระเจ้ารถสิทธ์ทรงระลึกถึงพระรถเสนกุมาร จึงรับสั่งให้อำมาตย์ไปพาตัวมาเฝ้าแล้วรับสั่งถามว่า "เจ้าชื่อไรเป็นลูกเต้าเหล่าใคร" พระรถเสนกุมารกราบทูลว่า "ข้าพระบาทชื่อว่า "รถเสน" มารดาข้าพระบาทกับป้าอีกสิบเอ็ดคนเป็นมเหสีของพระเจ้ารถสิทธ์" เมื่อพระเจ้ารถสิทธ์ได้ทรงฟังดังนั้นก็สะดุ้งพระองค์ทรงยินดีตรัสเรียกให้เข้ามานั่งใกล้พระองค์ ทรงสวมกอดและจุมพิตพระโอรส แล้วตรัสว่า "พ่อนี้คือบิดาของเจ้า" ในขณะนั้นนางยักษ์สนธมารนั่งเฝ้าอยู่ ครั้นได้เห็นดังนั้นก็ได้มีความ หวาดกลัวว่า ต่อไปไม่ช้าพระสามีคงจะรู้ความชั่วร้ายของตน ด้วยกุมารนี้เป็นแน่แท้ นางมีความร้อนใจยิ่งนัก จึงแสร้งทำอุบายเป็นไข้ แล้วก็กลับมาที่อยู่ของตน สั่งให้สาวใช้ไปทูลพระราชสามีให้ทรงทราบ พระเจ้ารถสิทธิ์ได้ทรงทราบ จึงตรัสให้อำมาตย์ไปตามหมอรักษานาง แต่หมอไม่อาจประกอบโอสถถวายให้โรคของนางทุเลาลงได้ อำมาตย์ทั้งหลายจึงไปกราบทูลพระเจ้ารถสิทธ์ให้ทรงทราบ พระเจ้ารถสิทธ์ทรงพระวิตกมากจึงรับสั่งให้เปลี่ยนหมอใหม่แต่โรคของนางก็ไม่หาย ต่อมานางแสร้งทำเป็นไม่บริโภค อาหารเมื่อพระเจ้ารถสิทธ์ทรงเห็นเช่นนั้น ก็ไม่เสวยอาหารบ้างเหมือนกันในที่สุดนางยักษ์สนธมารก็กราบทูลว่า " ยาที่จะรักษาโรคหม่อมฉันให้หายนั้นมีอยู่ที่เมืองคชปุรนคร ถ้าหม่อมฉันได้ยานั้นมากินแล้วโรคคงหายเป็นแน่แท้" เมื่อพระเจ้ารถสิทธ์ได้ทรงฟังดังนั้นก็ดีพระทัยตรัสให้อำมาตย์เอากลองเที่ยวตีประกาศให้ชาวพระนครมาประชุมกัน หน้าพระลาน ครั้นแล้วพระองค์ก็เสด็จไปยังที่ประชุมนั้น มีรับสั่งว่า "ท่านทั้งหลาย ใครจะรับอาสาไปเอายาที่เมืองคชปุรนคร ได้บ้าง ถ้าใครรับได้ เราจะให้รางวัลให้เป็นที่พอใจและเมื่อได้ยามาแล้วเราจะตั้งให้เป็นเสนาบดีผู้ใหญ่" ที่ประชุมก็นิ่งอยู่หามีใครจะรับอาสาไม่ ฝ่ายท่านเสนาบดีจึงกราบทูลว่า "เมืองคชปุรนครนั้นไกลนักขึ้นชื่อว่ามนุษย์ด้วยกันแล้วไม่มีใครสามารถไปถึงเลย" พระเจ้ารถสิทธ์ได้ฟังดังนั้นก็เสียพระทัย เสด็จกลับเข้าไปยังห้อง นางสนธมาร ตรัสเล่าเรื่องให้ฟังทุกประการ นางสนธมารจึง กราบทูลว่า "หม่อมฉันทราบอยู่ว่าไม่มีมนุษย์ผู้ใดที่จะไปได้ นอกจากพระรถเสนกุมารผู้มีบุญบารมีมากผู้เดียวเท่านั้น ขอพระองค์จงรับสั่งให้พระรถเสนกุมารไปเถิดคงจะสำเร็จเป็นแน่แท้" พระเจ้ารถสิทธ์ก็ทรงเห็นชอบด้วยจึงรับสั่งให้พระรถเสนกุมาเข้ามาเฝ้า แล้วทรงชี้แจงเรื่องราวให้ทราบในที่สุดจึงตรัสว่า "ลูกรักของพ่อ! เจ้าจงรับเอาสาไปเอายาที่เมืองคชปุรนครให้พ่อสักครั้งหนึ่งเถิด นอกจากเจ้าพ่อไม่เห็นใครที่จะรับอาสาได้แล้ว" พระรถเสนกุมารจึงกราบทูลว่า "หม่อมฉันได้ยินดีจะรับอาสา แต่เป็นห่วงมารดา และป้าผู้ต้องขังอยู่ในอุโมงค์ ถ้าไปเมืองไกลแล้ว ใครจะปฏิบัติมารดาและป้าเล่า" พระเจ้ารถสิทธ์จึงตรัสว่า "ข้อนั้นไม่เป็นไร เป็นภาระของพ่อเอง พ่อจะจัดให้คนดูแลแทนตัวเจ้า อย่าเป็นทุกข์เลย" เมื่อพระเจ้ารถสิทธ์ ตรัสรับรองเช่นนั้นแล้ว พระรถเสนกุมารก็มีความยินดีรับอาสา พระเจ้ารถสิทธ์จึงตรัสว่า "ม้าของพ่อมีอยู่พันหนึ่ง เจ้าจงไปเลือกดู ตามชอบใจเถิด" พระรถเสนกุมารถวายบังคมลาแล้วมายังโรงเลี้ยงม้า เลือกดูจนทั่ว ก็จะได้มาตัวหนึ่งสมประสงค์นำมาฝึกหัดเอาเองตามต้องการ และตั้งชื่อม้านั้นว่า "พาชี" ฝึกหัดเป็นที่พอใจแล้วก็ผูก เจ้าพาชีนั้นขับขี่เผ่นขึ้นไปรวดเร็วดุจเหาะมาในอากาศทดลอง กำลังเป็นระยะไกลมาก แล้วจึงพากลับมายังพระนครเข้าเฝ้า พระราชบิดา กราบทูลให้ทรงทราบทุกประการ ครั้นแล้วก็ไปปราสาทนางสนธมาร เพื่อฟังคำสั่งว่านางจะให้ไปเอายาขนานไหน เมื่อนางสนธมารได้เห็นพระรถเสนกุมาร จึงแสร้งพูดจาปราศรัยว่า "ลูกรักของแม่! แม่เห็นแต่เจ้าคนเดียวเท่านั้นที่จะ เป็นที่พึ่งได้ ขอเจ้าจงอนุเคราะห์รับธุระของแม่ให้สำเร็จเถิด" แล้วก็บอกชื่อยาให้ (ตามเรื่องที่เล่ากัน ยานั้นเรียกว่า มะม่วงไม่รู้หาวมะนาวไม่รู้โห่) บอกแล้วสั่งว่า "เมื่อเจ้าไปลาบิดามารดาเสร็จแล้วจะออกเดินทางไปจงมาหาแม่ก่อน แม่จะเขียนหนังสือให้ถือไปให้ยักษ์เมืองคชปุรนคร เมื่อมันเห็นหนังสือนั้น มันจะกรุณาช่วยหายาให้เจ้าตามประสงค์" พระรถเสนกุมารรับคำนางสนธมารลากลับไปหามารดา เล่าความให้ทราบทุกประการแล้วก็กล่าวคำอำลามารดา และป้าทั้งหลายก็พากันร้องให้เป็นห่วงใย บ่นรำพันไปต่างๆ นานา จนพระรถเสนกุมารออกจากอุโมงค์ไป แล้วพระรถ เสนกุมารก็ขึ้นเฝ้าพระราชบิดา ทูลลาเสร็จแล้วกลับมาผูกม้า และไปหานางสนธมารตามที่นางสั่งไว้ นางสนธมารก็เขียนหนังสือยื่นให้ พระรถเสนกุมารรับหนังสือเอาผูกคอม้า แล้วก็ขึ้นขี่ไปโดยเร็ว ไปสิ้นระยะทางไกลมากจึงจะหยุดพักสักครั้งหนึ่ง ไปจนถึงอาศรมพระฤาษี สิ้นระยะทางหลายโยชน์ ลงจากหลังม้า แล้วปล่อยม้า ให้กินหญ้าตามบริเวณอาศรมนั้น ส่วนตนเข้าไปพักในที่ใกล้อาศรม ด้วยความเหน็ดเหนื่อยจึงเอนกายลงนอนในที่นั้น มิช้าก็เลยหลับไปฝ่ายพระฤาษีที่อยู่ในอาศรม ได้ยินเสียงฝีเท้าม้าเดินไปมานึกสงสัยจึงออกมาจากอาศรมเดินที่ยวตรวจดู ครั้นแลไปเห็นม้าก็จึงประหลาดใจ เดินเข้าไปลูบหลังม้า มิช้าก็แลไปเห็นหนังสือที่ผูกคอม้านั้นอยู่ จึงหยิบมาคลี่ออกอ่านดู ในหนังสือนั้นมีว่า "เจ้าเมรีลูกรักของแม่ แม่ได้ส่งลาภมาให้เจ้าคือรถเสนกุมารผู้ถือหนังสือนี้ ถ้ามาถึงกลางวันก็จงกินกลางวัน ถ้าถึงกลางคืนก็จงกินกลางคืนเถิด" เมื่อพระฤาษีอ่านแล้วพิจารณาดูทราบว่าพระเจ้ารถสิทธ์ผู้ครองเมืองกุตารนครหลงรักนางสนธมาร แล้วให้ลูกของตัวไปเมืองยักษ์ โดยไม่รู้ว่ายักษ์จะกินลูกเสีย คิดจะช่วยพระรถเสนกุมารให้รอดพ้นอันตราย จึงแปลงหนังสือเสียใหม่ว่า"เจ้าเมรีลูกรักของแม่ แม่ได้ส่งลาภมาให้เจ้า คือรถเสนกุมารผู้ถือสารหนังสือนี้ ถ้ามาถึงกลางวันเจ้าจงรับกลางวัน ถ้าถึงกลางคืนให้รับกลางคืน เจ้าจงถนอมเจ้ารถเสนกุมารนี้อย่างผัวที่รักของเจ้าเถิด"
เมื่อพระฤาษี แปลงหนังสือนั้นเสร็จแล้ว จึงเอาผูกคอม้าไว้ดังเดิม แล้วก็เดินเข้าไปปลุกพระรถเสนกุมารให้ตื่นขึ้น พระรถเสนกุมารลืมตาดูเห็นพระฤาษีจึงลุกขั้นนั่งยกมือไหว้ พระฤาษีถามว่า "เจ้าชื่อไร มาแต่เมืองไหน และจะไปข้างไหน" พระรถเสนกุมารตอบว่า"ข้าพเจ้าชื่อว่า "รถเสน" มาแต่เมืองกุตารนครจะไปเมืองคชปุรนคร" พระฤาษีจึงถามต่อไปว่า "บิดามารดาของเจ้าชื่ออะไร" พระรถเสนกุมารตอบว่า "บิดาของข้าพเจ้าชื่อว่า "พระเจ้ารถสิทธ์" เจ้าเมืองกุตารนคร มารดาและป้าของข้าพเจ้ารวมสิบสองคนเป็นมเหสีของท่าน" พระฤาษีได้ฟังดังนั้น ก็ประสาทพรว่า "เจ้าจงไปดีมาดีเถิด" พระรถเสนกุมารรับพรโดยความเคารพ แล้วลาพระฤาษี มาผูกม้าขึ้นขี่ต่อไป สิ้นระยะทางอีกหลายโยชน์ก็ถึงแดนเมืองยักษ์ แลไปดูพวกยักษ์เห็นอยู่เกลื่อนกลาดมีความกลัวจึงตรัส แก่ม้าว่า "พี่พาชีเราจะทำอย่างไรดี เรามาถึงแดนเมืองยักษ์แล้ว" ม้าทูลตอบว่า "พระองค์อย่างทรงวิตกเลย ไว้ธุระข้าพระองค์เถิด" แล้วก็พารถเสนกุมารเข้าไปใกล้เมืองยักษ์นั้นฝ่ายพวกพลยักษ์ทั้งหลายซึ่งเที่ยวตรวจตราอยู่ และเห็นพระรถเสนกุมารขี่ม้ามาต่างก็ดีใจ พากันวิ่งตรงเข้าไปหวังจะจับกินเสียครั้นพาชีเห็นดังนั้นก็แผดเสียงสนั่น พวกพลยักษ์ก็พากันตกตะลึงอยู่ทันใดนั้นพระรถเสนกุมารจึงแก้หนังสือที่ผูกคอม้านั้นขว้างไปพวกเสนายักษ์รีบเก็บเอาหนังสือนั้นคี่ออกอ่อนดูรู้ความแล้วก็เชิญพระรถเสนกุมารให้เข้าเมือง พามาพัก ณ ที่อันสมควรแล้วไปแจ้งแก่นางเมรีให้ทราบ นางเมรีได้ทราบดังนั้น มีความยินดียิ่งนัก รีบออกมาต้อนรับโดยเร็ว ครั้นนางได้
และเห็นพระรถเสนกุมาร ให้เกิดความรักใคร่เป็นกำลัง จึงเชิญให้เสด็จไปพักบนปราสาทแล้วให้จัดอาหารและผลไม้ที่มีรสโอชาให้เสวย ส่วนนางยักษ์ที่เป็นบริวารของนางเมรีก็มานั่งห้อมล้อมพระรถเสนกุมารอยู่ดาดาษดุจดาวล้อมเดือนฉะนั้น ครั้นแล้วนางเมรีสั่งให้ยักษ์ผู้เป็นเสนาบดีตกแต่งพระนครให้งดงาม แล้วนางก็ให้จัดการอภิเษกพระรถเสนกุมารให้เป็นพระเจ้าแผ่นดิน และอภิเษกนางเป็นมเหสี ครอบครองราชสมบัติในคชปุระนครโดยความผาสุกสำราญต่อมาเวลาล่วงไปได้เจ็ดเดือน พาชีเห็นช้านานนักก็กราบทูลเตือนพระรถเสนว่า "บัดนี้พระองค์ละมารดามานานนักหนาแล้วจะไม่เสด็จกลับไปหามารดาละหรือ" พระรถเสนได้ทรงฟังจึงตรัสว่า "จริงตามที่พี่พาชีพูด แต่เรายังไม่สามารถจะกลับได้" พาชีได้ฟังดังนั้น ก็โกรธอยู่ในใจ ไม่รู้ที่จะทำอย่างไรได้ อยู่มาวันหนึ่งทรงเห็นม้านั้น แสดงกิริยาโกรธเคืองอีก จึงตรัสปราศรัยว่า "พี่พาชีอย่าโกรธฉันเลย" พาชีจึงทูลว่า "ข้าพระองค์ไม่ตั้งใจจะโกรธขึ้งพระองค์ดอก แต่อยากจะกลับบ้านเมือง ถ้าพระองค์จะอยู่ในพระนครนี้ก็จงเสด็จอยู่เถิด ข้าพระองค์จะขอลากลับไปยังกุตารนครแต่ผู้เดียว"เมื่อพระรถเสนได้ทรงฟังดังนั้นก็รู้สึกพระองค์ เศร้าพระทัยมากคิดจะกลับพระนคร จึงขึ้นไปบนปราสาท แล้วประทับบนแท่นบรรทม ทรงพระกันแสงถึงพระมารดาครั้นรุ่งเช้าพระองค์แสร้งทำเป็นประชวร ไม่เสด็จออกขุนนางเช่นเคย เสนาบดีและอำมาตย์ทั้งหลายซึ่งคอยเฝ้าอยู่ที่ท้องพระโรง ก็พากันกลับไป ฝ่ายนางเมรีพร้อมด้วยนางสนมทั้งหลายต่างมีใจทุกข์ร้อนเฝ้าพยาบาลพระรถเสนอยู่ในปราสาท ให้แพทย์ประกอบพระโอสถถวายต่างๆ นานา พระองค์ก็ยังบรรทมซึมเซาอยู่บนพระแท่นเช่นเดิมหาได้มีพระอาการเป็นสุขสบายขึ้นไม่ ในที่สุดนางเมรีจึงกราบทูลแนะนำว่า "ถ้าพระองค์ประทับอยู่แต่บนปราสาท น่ากลัวอาการประชวรจะทุเลาช้า หม่อมฉันเห็นว่า พระองค์ควรจะเสด็จประพาสสวนอุทยานเสียบาง คงจะทรงพระสำราญขึ้น"พระรถเสนได้ทรงฟังดังนั้นก็ทรงยินดี รับสั่งให้พวกอำมาตย์จัดวอพระที่นั่ง
สำหรับเสด็จประพาสสวนอุทยาน แล้วเสด็จไปพร้อมด้วยนางเมรีและนางสนมทั้งหลาย ครั้นถึงสวนอุทยานแล้วทรงดำเนินชมนก ชมไม้เป็นที่เบิกบานพระหฤทัยยิ่งนัก เมื่อได้เวลาอันสมควร ก็ตรัสชวนนางเมรีและนางสนมทั้งหลายกลับพระนคร ขึ้นประทับบนปราสาทครั้นถึงเวลาค่ำพระองค์มีรับสั่งให้นางเมรีนำดนตรีมาประโคม และฟ้อนรำขับร้องถวายแล้ว พระองค์เสวยพระกระยาหารพร้อมด้วยนางเมรี โปรดให้นางเมรีดื่มสุรา ส่วนพระองค์ทรงแสร้งทำเป็นว่าเสวยสุรากับนาง แต่ที่จริงหาได้เสวยไม่ เมื่อนางเมรีดื่มสุราแล้วก็มีอาการมึนเมาหาสติมิได้พระองค์ก็ทรงจูงนางเมรีเที่ยวทอดพระเนตรดูสิ่งของต่างๆ ในปราสาทนั้น ทรงพบห่อของห่อหนึ่งรีบสั่งถามว่า "นี่ห่ออะไร แม่เมรี" นางเมรีทูลโดยไม่มีสติว่า "ห่อลูกตาของนางสิบสอง" แล้วชี้ห่อยาหลายห่อให้ทอดพระเนตรอธิบายสรรพคุณของยาห่อนั้นๆ ว่า "ยาห่อนี้เป็นยาทิพย์สำหรับรักษาตา คือเอาลูกตาในห่อนั้นใส่ลงที่ตา แล้วเอายานี้หยอดตาจะดีดังเก่า ยานี้ถ้าโปรยลงไปจะเกิดเป็นภูเขาขึ้น ยาห่อนี้จะเกิดเป็นป่า ห่อนี้จะเกิดเป็นลม ห่อนี้จะเกิดเป็นไฟ ห่อนี้จะเกิดเป็นฝน ห่อนี้จะเกิดเป็นเมฆ และห่อนี้จะบันดาลให้เกิดเป็นแม่น้ำใหญ่" พระรถเสนได้ทรงฟังดังนั้นก็ทรงยินดียิ่งนัก พลางดำริว่า "ถ้าเราได้ยาเหล่านี้ไป เราคงจะได้กลับไปเห็นหน้าแม่เราเป็นแน่นอน " พอนางเมรีหลับแล้วพระองค์ก็หยิบเอาห่อลูกตาและห่อยาเหล่านั้นซ่อนมาขึ้นม้ารีบหนีไปในเวลากลางคืนพอเวลารุ่งเช้านางเมรีตื่นขึ้น ไม่เห็นพระรถเสนก็ตกใจเที่ยวค้นหาจนทั่วปราสาทไม่พบ ก็รู้แน่ว่าพระองค์หนีไป นางก็ทรงกันแสง ทรงสั่งให้เกณฑ์รี้พลรีบยกออกติดตามพระสามี ในมิช้านางก็ไปทัน พระรถเสนเห็นนางตามมาใกล้ จึงหยิบเอายาห่อหนึ่งโปรยลง ก็บังเกิดเป็นภูเขาขวางหน้ากองทัพไว้ นางเห็นดังนั้นก็หยุดะงัก แล้วยกพลพยายามตามต่ออีก พระรถเสนก็หยิบเอายาห่ออื่นๆ โปรยลงไปทีละห่อ บังเกิดเป็นเครื่องกีดกั้นต่างๆ ตามที่นางบอกไว้ จนถึงห่อยาที่สุดก็เกิดเป็นแม่น้ำใหญ่ นางอุตสาห์พยายามติดตามไปจนถึงแม่น้ำใหญ่นั้น นางหยุดแลดูพระรถเสนประทับอยู่ฝั่งโน้น กันแสงพลางกราบทูลว่า "พระสามีที่รักเจ้าข้า! เสียแรงที่หม่อมฉันสวามิภักดิ์รักใคร่พระองค์เป็นหนักหนาพระองค์ช่างไม่ทรงกรุณาหม่อมฉันบ้างเลย ถ้าหม่อมฉันไม่ได้ไปกับพระองค์แล้ว หม่อมฉันจะขอตายอยู่ที่นี่" แล้วนางก็ทรงกันแสงรำพันทูลพระสามีด้วยประการต่างๆ แต่ก็หาได้รับตอบจากพระสามีไม่ ในที่สุดนางจึงยกหัตถ์ขึ้นตั้งสัจอธิษฐานว่า "ข้าพเจ้าเกิดชาติใดๆ ขอให้ได้อยู่ร่วมกับพระรถเสนทุกชาติไป" พระรถเสนหยุดฟังนางรำพันอยู่ฝั่งโน้น ก็บังเกิดความสงสารนาง ทรงกันแสงอาลัยถึงนาง แต่อุตส่าห์อดกลั้น อยู่ด้วยความกตัญญูในพระมารดา เมื่อเห็นนางเงียบเสียงแล้วจึงตรัสตอบไปว่า "น้องที่รักของพี่! น้องมีคุณแก่พี่มากมายเหลือจะขอบคุณน้องได้ แต่เป็นการจำเป็นที่พี่จะต้องไปสนองคุณพระบิดามารดาผู้บังเกิดเกล้าของพี่เสียก่อน น้องอย่าคิดเป็นอย่างอื่นไปเลยทำไมพี่จะไม่รักน้องจำต้องขอลาน้องไปก่อน หวังว่าภายหน้าเราคงจะได้อยู่เป็นคู่ครองกันต่อไป" ตรัสเท่านั้นแล้วก็ขับพาชีรีบเสด็จไปจนถึงเมืองกุตารนคร เมื่อนางเมรีเห็นพระรถเสนลับพระเนตรไปแล้ก็ทรงกันแสงเสียพระทัยจนสิ้นชีพอยู่ที่ผั่งไม่น้ำนั้นเองส่วนนางยักษ์สนธมารได้แลเห็นพระรถเสนกลับมา มีความเสียใจเป็นกำลัง จนใจนางแตกเป็นเจ็ดภาค สิ้นชีวิตอยู่บนปราสาทของนางนั้นเอง ฝ่ายพระรถเสนครั้นมาถึงเมือง ก็รีบเข้าไปหาพระมารดาและป้าในอุโมงค์เอาลูกตาและยาใส่ตามารดาและป้าทั้งสิบเอ็ดคนนั้นเสร็จแล้ว ตาของมารดาและป้าทั้งหลายก็กลับคืนดีเป็นปกติดังเดิม แล้วพระองค์ก็พามารดาและป้าทั้งหลายนั้นขึ้นเฝ้าพระราชบิดา เมื่อพระองค์พามารดาและป้าทั้งหลายนั้นขึ้นเฝ้าพระราชบิดา เมื่อพระรถสิทธ์เห็นพระรถเสนกลับมาและพามารดาและป้าทั้งหลายมาด้วยดังนั้น ก็ประหลาดพระทัยยิ่งนัก ครั้นได้ทรงฟังพระรถเสนทูลเรื่องยักษ์สนธมารซึ่งจำแลงมาเป็นหญิงมนุษย์ และทำอุบายควักลูกตามเหสีของพระองค์เสีย ตลอดจนพระรถเสนไปได้ลูกตามาจากเมืองยักษ์ และเอามาใส่ให้มเหสีดีดังเก่า จนถึงพากันมาเฝ้าพระองค์ โดยถี่ถ้วนทุกประการแล้ว พระองค์ก็ทรงสงสารพระมเหสีเป็นกำลัง ทรงพระกันแสงพลางตรัสขอโทษพระมเหสีสิบสององค์และกริ้วนางสนธมารยิ่งนักจนภายหลังเมื่อได้ทรงทราบว่านางสนธมารตายเสียแล้วจึงสงบพระพิโรธ กลับทรงโสมนัสยินดี ตั้งให้นางสิบสองนั้นเป็นมเหสีของพระองค์ดังเดิมภายหลังพระจ้ารถสิทธ์จึงมีรับสั่งให้จัดการอภิเษกพระรถเสนขึ้นเป็นกษัตริย์ครอบครอบราชสมบัติแทนพระองค์สืบไป และมีการมหรสพเป็นงานฉลองอย่างเอิกเกริกใหญ่ฝ่ายพระรถเสนเมื่อได้ทรงราชย์แล้วก็ดำรงอยู่ในทศพิษราชธรรมทรงอุปถุมภ์แก่ประชาชน ให้ได้รับความสุขทั่วหน้ากันต่อมา
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น