วันเสาร์ที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

ขุนช้างขุนแผน




นานมาแล้ว มีครอบครัวสามครอบครัวตั้งบ้านเรือนอยู่ใกล้กัน ครอบครัวหนึ่งคือ ครอบครัวของขุนไกรพลพ่ายผู้รับราชการทหาร มีภรรยาชื่อ นางทองประศรี และมีลูกชายชื่อ พลายแก้ว ครอบครัวที่สอง คือ ขุนศรีวิชัย เศรษฐีใหญ่แห่งเมืองสุพรรณบุรี รับราชการเป็นนายกองกรมช้างนอก มีภรรยาชื่อ นางเทพทอง และมีลูกชายชื่อ ขุนช้าง และครอบครัวที่สาม คือ พันศรโยธา ผู้เป็นพ่อค้า มีภรรยาชื่อ ศรีประจัน และมีลูกสาวรูปงดงามนามพิมพิลาไลย วันหนึ่ง สมเด็จพระพันวษาประสงค์จะล่าควายป่า จึงสั่งให้ขุนไกรนายทหารคู่ใจปลูกพลับพลาและต้อนควายป่าเตรียมไว้ แต่ควายป่าเหล่านั้นกลับแตกตื่นและไม่ยอมเข้าคอก ขุนไกรจึงจำต้องฆ่าควายป่าตายไปหลายตัว สมเด็จพระพันวษาทราบเรื่องก็โกรธมาก และสั่งให้ประหารชีวิตขุนไกรเสีย นางทองประศรีรู้ข่าวจึงรีบพาพลายแก้วหนีไปอยู่ที่เมืองกาญจนบุรี เพราะเกรงว่าตนและลูกจะมีภัย ส่วนครอบครัวของขุนศรีวิชัยก็ถูกพวกโจรจันศรปล้นบ้านและฆ่าขุนศรีวิชัยตาย ส่วนพันศรโยธาก็เดินทางไปค้าขายต่างเมือง และติดไข้ป่าจนตาย เวลาผ่านไป จนพลายแก้วมีอายุได้ ๑๕ ปี ก็บวชเณรเรียนวิชาอยู่ที่วัดส้มใหญ่ แล้วจึงย้ายไปเรียนต่อที่วัดป่าเลไลย ต่อมา ที่วัดป่าเลไลยจัดให้มีเทศน์มหาชาติ ซึ่งเณรพลายแก้วก็ได้รับเลือกให้เป็นผู้เทศน์กัณฑ์มัทรี ซึ่งนางพิมพิลาไลยเป็นเจ้าของกัณฑ์เทศน์นี้ หลังฟังเทศน์จบ นางพิมเกิดความเลื่อมใสเป็นอย่างมาก จึงได้เปลื้องผ้าสไบบูชากัณฑ์เทศ์ เมื่อขุนช้างเห็นเช่นนั้น ก็เปลื้องผ้าห่มของตนวางเคียงคู่กับผ้าสไบของนางพิม และอธิษฐานขอให้ได้นางพิมเป็นภรรยา ซึ่งสร้างความไม่พอใจให้แก่นางพิมเป็นอย่างมาก หลังจากที่เณรพลายแก้วสึกก็ได้ขอให้นางทองประศรีมาสู่ขอนางพิม จนได้แต่งงานกันในที่สุด พอดีกับช่วงนั้น กรุงศรีอยุธยาจะต้องยกทัพไปตีเมืองเชียงใหม่ สมเด็จพระพันวษาจึงถามหาเชื้อสายของขุนไกร ขุนช้างซึ่งขณะนั้นได้เข้ารับราชการอยู่ จึงทูลเล่าเรื่องราวความเก่งกล้าสามารถของพลายแก้ว เพื่อหวังจะพรากให้พลายแก้วกับนางพิมห่างไกลกัน เมื่อสมเด็จพระพันวษาทราบเรื่อง จึงสั่งให้ไปตามตัวพลายแก้ว แล้วแต่งตั้งให้เป็นแม่ทัพไปรบกับเมืองเชียงใหม่ ส่วนนางพิมพิลาไลย เมื่อสามีออกไปรบได้ไม่นาน ก็เกิดอาการป่วยหนัก ขรัวตาจูแห่งวัดป่าเลไลยจึงแนะนำให้เปลี่ยนชื่อเป็นวันทอง ซึ่งเมื่อเปลี่ยนแล้วก็พบว่าอาการไข้ที่เป็นก็หายไปอย่างน่าอัศจรรย์ ระหว่างที่พลายแก้วออกศึก ขุนช้างแสลงทำอุบายนำหม้อใหม่ใส่กระดูกไปให้นางศรีประจันกับนางวันทองดูว่าพลายแก้วตายแล้ว และขู่ว่านางวันทองจะต้องถูกคุมตัวไว้เป็นม่ายหลวงตามกฎหมาย ด้วยความกลัวและถูกบังคับนางศรีประจันจึงยกนางวันทองให้แก่ขุนช้าง นางวันทองจำต้องตามใจแม่และยอมแต่งงานด้วย แต่นางก็ยังไม่ยอมเข้าหอกับขุนช้างอยู่ดี เมื่อพลายแก้วเสร็จศึกและได้ชัยชนะกลับมา พลายแก้วก็ได้นางลาวทอง ลูกสาวของนายบ้านแสนคำแมนแห่งหมู่บ้านจอมทองกลับมาเป็นรางวัลด้วย เมื่อกลับมาถึงกรุงศรีอยุธยาก็ได้รับบรรดาศักดิ์เป็นแผนแสนสะท้าน แผนแสนสะท้านพานางลาวทองกลับเมืองสุพรรณบุรี เมื่อนางวันทองเห็นขุนแผนพาภรรยาใหม่กลับมาด้วย ก็โกรธและด่าทอนางลาวทองและขุนแผน จนทำให้ขุนแผนโมโหพานางลาวทองหนีไปอยู่ที่กาญจนบุรี ส่วนนางวันทองก็จำต้องตกเป็นภรรยาของขุนช้างอย่างจำใจต่อมาขุนช้างและขุนแผนเข้าไปรับราชการอบรมในวังและได้เลื่อนตำแหน่งเป็นมหาดเล็กเวรทั้งสองคน วันหนึ่งนางทองประศรีให้คนมาส่งข่าวว่านางลาวทองป่วยหนัก ขุนแผนจึงฝากเวรไว้กับขุนช้างแล้วรีบกลับไปดูอาการของนางลาวทอง พอรุ่งเช้า สมเด็จพระพันวษาถามถึงขุนแผน ขุนช้างก็ให้ร้ายว่าขุนแผนปีนกำแพงวังหนีกลับไปหาภรรยา เมื่อได้ฟังดังนั้น สมเด็จพระพันวษาก็โกรธจึงสั่งให้นำตัวนางลาวทองมากักไว้ในวัง และส่งให้ขุนแผนไปตระเวนนอกวัง ขุนแผนแค้นขุนช้างมาก จึงคิดจะช่วงชิงนางวันทองกลับคืนมา ขุนแผนออกอุบายหาของวิเศษ ๓ อย่าง คือ ดาบวิเศษ กุมารทอง และม้าฝีเท้าดี เพื่อใช้เป็นอาวุธในการแก้แค้น เมื่อขุนแผนเดินทางไปถึงซ่องโจรของหมื่นหาญ ก็สมัครเข้าเป็นสมุนและได้ช่วยชีวิตหมื่นหาญให้รอดพ้นจากการถูกวัวแดงขวิดตาย หมื่นหาญจึงได้ยกนางบัวคลี่ลูกสาวของตนให้เป็นภรรยาเพื่อตอบแทนในน้ำใจ ต่อมา หมื่นหาญเริ่มเห็นว่าขุนแผนมีวิชาอาคมที่เหนือกว่าตน ก็คิดกำจัดให้พ้นทาง หมื่นหาญจึงสั่งให้นางบัวคลี่วางยาพิษเพื่อฆ่าขุนแผน แต่โหงพรายที่ขุนแผนเลี้ยงไว้ก็มาบอกให้ขุนแผนรู้ตัว คืนนั้นพอนางบัวคลี่นอนหลับ ขุนแผนจึงผ่าท้องนางเพื่อควักเอาเด็กไปทำพิธีปลุกเสกเป็นกุมารทอง ต่อจากนั้น ขุนแผนก็ทำพิธีตีดาบฟ้าฟื้นและไปซื้อม้าลักษณะดีได้ตัวหนึ่ง ชื่อ ม้าสีหมอก จนได้ของวิเศษที่ต้องการครบ ๓ อย่าง มื่อเตรียมการเสร็จ ขุนแผนก็ไปบุกที่บ้านของขุนช้าง แล้วสะกดให้ทุกคนหลับจนหมด จากนั้นจึงขึ้นไปบนบ้านแต่เข้าห้องผิดไปพบนางแก้วกิริยาแทน ขุนแผนจึงได้นางแก้วกิริยาเป็นภรรยา หลังจากนั้น ก็ไปปลุกนางวันทองแล้วพาขึ้นม้าหนีเข้าป่าไปด้วยกัน เมื่อขุนช้างรู้ว่านางวันทองโดนขุนแผนลักตัวไป ก็นำเรื่องไปฟ้องสมเด็จพระพันวษา พระองค์โปรดให้ทหารตามจับตัวขุนแผน แต่ก็ถูกขุนแผนฆ่าตายไปเสียหมด ขุนแผนกับนางวันทองหลบซ่อนตัวอยู่ในป่า จนนางวันทองตั้งท้องจึงพากันออกมามอบตัวสู้คดีกับขุนช้าง ขุนแผนชนะคดี จึงได้พานางวันทองและนางแก้วกิริยากลับมาอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข แต่ขุนแผนก็ยังนึกถึงนางลาวทอง จึงขอร้องจมื่นศรีเสาวรักษ์ขอตัวนางลาวทองจากสมเด็จพระพันวษากลับคืนมา สมเด็จพระพันวษาโกรธที่ขุนแผนกำเริบ จึงสั่งจำคุกขุนแผนไว้ ภรรยาของขุนแผนที่ชื่อนางแก้วกิริยาก็ขอตามไปปรนนิบัติขุนแผนในคุกด้วย ส่วนนางวันทองได้พักอยู่ที่บ้านของหมื่นศรี ขุนช้างรู้เข้าจึงพาพรรคพวกมาฉุดเอานางวันทองกลับไปเป็นภรรยาของตนอีก ต่อมานางวันทองได้คลอดลูกชาย นามว่าพลายงาม ขุนช้างรู้ว่าลูกที่เกิดมานี้ไม่ใช่ลูกของตนก็เกิดความเกลียดชัง และหลอกพาเข้าไปในป่าเพื่อฆ่าเสีย แต่โหงพรายของขุนแผนก็มาช่วยไว้ได้ทัน นางวันทองจึงส่งให้ลูกไปอยู่กับนางทองประศรีที่กาญจนบุรี พลายงามจึงได้ร่ำเรียนวิชาของพ่อจนเชี่ยวชาญ และได้พาไปฝากไว้กับหมื่นศรี เพื่อหาโอกาสให้เข้ารับราชการ ฝ่ายพระเจ้าเชียงอินทร์ เจ้าเมืองเชียงใหม่ ได้ส่งทหารไปชิงตัวนางสร้อยทองธิดาระหว่างที่เดินทางไปยังกรุงศรีอยุธยา พระเจ้าล้านช้างต้องการผูกไมตรีด้วยจึงส่งธิดามาถวายตัว จากนั้นพระเจ้าเชียงอินทร์ก็ยังส่งหนังสือท้ารบไปยังสมเด็จพระพันวษาอีกด้วย ด้วยเหตุนี้เอง พลายงามจึงได้โอกาสในออกรบ และขอให้ปล่อยขุนแผนออกจากคุกเพื่อจะได้ร่วมกันทำศึก ในขณะที่กำลังเตรียมทัพ นางแก้วกิริยาก็คลอดลูกเป็นชายและตั้งชื่อว่า พลายชุมพล ขุนแผนกับพลายงามร่วมกันคุมทัพมุ่งสู่เมืองเชียงใหม่ ระหว่างทางขุนแผนได้แวะเยี่ยมพระพิจิตรกับนางบุษบาซึ่งเคยให้ความช่วยเหลือตนไว้ ครั้งนั้น พลายงามจึงได้พบนางศรีมาลาและได้นางกลับมาเป็นภรรยา หลังจากเสร็จศึกและได้ชัยชนะกลับมา ขุนแผนได้รับแต่งตั้งเป็นพระสุรินฤาไชยผู้ครองเมืองกาญจนบุรี ส่วนพลายงามก็ได้รับแต่งตั้งเป็นจมื่นไวยวรนาถ และได้นางสร้อยฟ้าธิดาของพระเจ้าเชียงอินทร์เป็นภรรยาเพิ่มอีกคน พระไวยต้องการให้แม่กลับมาอยู่กับตนและพ่ออีกครั้ง จึงไปลักพาตัวนางวันทองกลับมา ขุนช้างรู้เข้าก็โกรธเคืองและนำความไปฟ้องสมเด็จพระพันวษา สมเด็จพระพันวษาให้โอกาสนางวันทองตัดสินใจว่าจะเลือกอยู่กับใคร แต่นางก็ตัดสินใจไม่ได้ สมเด็จพระพันวษาจึงกล่าวหาว่านางวันทองเป็นหญิงสองใจ และรับสั่งให้นำตัวไปประหารชีวิต พระไวยพยายามอ้อนวอนขออภัยโทษแต่ก็ห้ามการประหารไม่ทัน ครอบครัวของพระไวยก็ไม่ได้ราบรื่นนักและมักมีการทะเลาะวิวาทกันอยู่เสมอ เนื่องจากนางสร้อยฟ้าไม่พอใจที่พระไวยและนางทองประศรีรักนางศรีมาลามากกว่านาง นางสร้อยฟ้าจึงให้ขอให้เถรขวาดทำเสน่ห์ให้พระไวยหลงรักตนและใส่ความให้พระไวยตีนางมาลา เมื่อพลายชุมพลรู้เข้าก็เข้าไปห้ามแต่ก็ถูกตีตามไปด้วย พลายชุมพลจึงนึกน้อยใจและหนีออกจากบ้านไปหาพ่อแม่ที่กาญจนบุรี ก่อนจะหนีไปบวชเณรต่อที่สุโขทัย ฝ่ายขุนแผนก็รีบไปที่บ้านพระไวย แล้วเสกกระจกมนต์ให้พระไวยรู้ว่าถูกทำเสน่ห์ แต่พระไวยก็ยังไม่เชื่อและพูดลำเลิกบุญคุณเรื่องที่ช่วยพ่อออกมาจากคุก ขุนแผนโกรธมากจึงประกาศตัดพ่อตัดลูก แล้วหนีกลับไปกาญจนบุรีทันที 
เมื่อพลายชุมพลร่ำเรียนวิชาสำเร็จก็สึกออกมานัดหมายกับขุนแผนเพื่อแก้แค้นพระไวย พลายชุมพลปลอมตัวเป็นมอญ โดยใช้ชื่อว่า สมิงมัตรา ยกกองทัพหุ่นหญ้าเสกมาตีเมืองสุพรรณบุรี สมเด็จพระพันวษาจึงสั่งให้ขุนแผนยกทัพไปต้านศึก ขุนแผนแกล้งแพ้เพื่อให้พระไวยจำต้องยกทัพไปต่อสู้กับพลายชุมพล ระหว่างที่กำลังต่อสู้กัน ขุนแผนบอกให้พลายชุมพลจับตัวพระไวยไว้ พระไวยเห็นพ่อก็ตกใจ จึงหนีกับไปฟ้องสมเด็จพระพันวษา พระองศ์จึงสั่งให้นางศรีมาลาไปรับตัวขุนแผนกับพลายชุมพลเข้าวัง พลายชุมพลอาสาจับเสน่ห์ โดยขอให้หมื่นศรีไปเป็นพยานด้วย พลายชุมพลจับตัวเถรขวาดกับเณรจิ๋วไว้ แล้วขุดรูปปั้นลงอาคมที่ฝั่งไส้ใต้ดินขึ้นมาได้ มนต์เสน่ห์ที่ทำไว้จึงคลายลง พอตกดึกเถรขวาดกับเณรจิ๋วก็แอบสะเดาะโซ่ตรวนหลบหนีไป ในการไต่สวนคดี นางสร้อยฟ้าไม่ยอมรับว่าตนเป็นคนทำเสน่ห์ และใส่ร้ายว่านางศรีมาลาเป็นชู้กับพลายชุมพล พอนางจับได้พลายชุมพลก็หนีไปยุยงขุนแผน ด้วยเหตุนี้จึงมีการพิสูจน์ความบริสุทธิ์โดยการลุยไฟ ซึ่งนางสร้อยฟ้าก็แพ้และถูกไฟลวกจนพุพอง ส่วนนางศรีมาลากลับไม่เป็นอะไรเลย สมเด็จพระพันวษาจึงสั่งประหารนางสร้อยฟ้า แต่นางศรีมาลาก็ขออภัยโทษไว้ นางสร้อยฟ้าจึงถูกเนรเทศกลับไปอยู่ที่เมืองเชียงใหม่ตามเดิม  ระหว่างเดินทางกลับเมืองเชียงใหม่ก็ได้พบกับเถรขวาดกับเณรจิ๋ว จึงได้เดินทางกลับไปด้วยกัน ต่อมาไม่นาน นางสร้อยฟ้าก็ให้กำเนิดลูกชายนามว่าพลายยง ส่วนนางศรีมาลาก็คลอดลูกชายเช่นกัน นามว่าพลายเพชร พระเจ้าเชียงอินทร์แต่งตั้งเถรขวาดให้เป็นพระสังฆราช เพื่อตอบแทนความดีความชอบที่พานางสร้อยฟ้ากลับมาบ้านเมืองได้อย่างปลอดภัย แต่เถรขวาดก็ยังแค้นพลายชุมพลจึงเดินทางมาที่กรุงศรีอยุธยา และแปลงร่างเป็นจระเข้ เพื่ออาละวาดฆ่าคนและสัตว์เลี้ยงในเมือง พลายชุมพลจึงอาสาออกปราบจระเข้จนสำเร็จ และได้ตัวเถรขวาดมาประหารชีวิต ความดีความชอบครั้งนี้ส่งผลให้พลายชุมพลได้บรรดาศักดิ์เป็นหลวงนายฤทธิ์ และนับจากนั้นเป็นตนมา ทุกคนก็อยู่กันอย่างมีความสุขตลอดไป

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น