ด.ช.ณัทกร อาจโยธา ม.2/6 เลขที่ 15 ส่ง ม.วิษณุ ขันทะโฮม
วันจันทร์ที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558
วันเสาร์ที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558
พระอภัยมณี
ท้าวสุทัศน์และพระนางประทุมเกสร ผู้ครองกรุงรัตนา มีพระโอรสสององค์ คือ พระอภัยมณี และศรีสุวรรณ ได้รับสั่งให้โอรสทั้งสองไปเรียนศิลปวิทยา ในที่สุดพระอภัยมณีได้เรียนวิชาปี่ ขณะที่ศรีสุวรรณได้เรียนวิชากระบี่กระบอง เมื่อสำเร็จวิชา ก็ได้กลับคืนพระนคร ทว่าพระบิดาทรงกริ้ว ด้วยพระโอรสไปเรียนวิชาชั้นต่ำ ไม่คู่ควรแก่กษัตริย์ จึงไล่ทั้งสองออกจากพระนคร
ทั้งสองเดินทางมาถึงชายทะเล ได้พบกับสามพราหมณ์คือ โมรา สานนท์ และวิเชียร ได้สมัครเป็นมิตรกัน แล้วพระอภัยมณีเป่าปี่ให้คนทั้งหมดฟัง ทั้งหมดเคลิบเคลิ้มตามเพลงปี่จนหลับไป เพลงปี่ดังไปถึงนางผีเสื้อสมุทรที่อาศัยอยู่ในทะเล เมื่อตามเสียงปี่มาพบพระอภัยมณีก็หลงรัก จึงลักพาตัวพระอภัยมณีไปอยู่กับนางบนเกาะ แล้วจำแลงร่างเป็นหญิงสาวสวยงาม แม้พระอภัยรู้อยู่ว่านั่นคือนางยักษ์ แต่ก็ไม่สามารถหนีไปไหนได้ ทั้งสองอยู่กินกันมาจนนางผีเสื้อให้กำเนิดบุตรชายคนหนึ่ง ชื่อว่า สินสมุทร
ด้านศรีสุวรรณกับสามพราหมณ์เมื่อตื่นขึ้นมาไม่พบพระอภัยมณีก็เที่ยวค้นหา จนไปถึงเมืองรมจักรพบศึกติดพัน ศรีสุวรรณกับสามพราหมณ์ช่วยรบป้องกันเมืองได้ ได้พบนางเกษราธิดาของเจ้าเมือง ต่อมาศรีสุวรรณได้อภิเษกนางเกษรา มีพระธิดาชื่อนางอรุณรัศมี
วันหนึ่งสินสมุทรออกไปเที่ยวเล่นเจอพ่อเงือกแม่เงือก จึงจับตัวมาให้พระอภัยดู พ่อเงือกแม่เงือกวอนขอชีวิตโดยเสนอจะพาพระอภัยหนี พระอภัยจึงออกอุบายให้นางผีเสื้อไปถือศีลบนเขาสามวัน ระหว่างนั้นเขาก็พาสินสมุทรหนี พ่อเงือกแม่เงือกพาพระอภัยและสินสมุทรมาเกือบถึงเกาะแก้วพิสดารแล้ว แต่นางผีเสื้อรู้ตัวติดตามมาทัน จับพ่อเงือกแม่เงือกฆ่าเสีย นางเงือกผู้ลูกพาพระอภัยกับสินสมุทรหนีไปจนถึงเกาะแก้วพิสดารได้สำเร็จ บนเกาะนี้มีพระฤๅษีมีฤทธิ์มาก นางผีเสื้อจึงไม่กล้าทำอะไร ทั้งหมดอาศัยอยู่บนเกาะแก้วพิสดาร พระอภัยได้นางเงือกเป็นภริยา
ฝ่ายท้าวสิลราชกับพระนางมณฑา ผู้ครองเมืองเมืองผลึก มีพระธิดาองค์เดียวคือ นางสุวรรณมาลี ทรงเป็นคู่หมั้นอยู่กับอุศเรน เจ้าชายเมืองลังกา วันหนึ่งนางสุวรรณมาลีเกิดนิมิตฝัน โหรทำนายว่าต้องออกเที่ยวทะเลจะได้พบลาภ ทั้งหมดจึงเดินเรือเที่ยวท่องไป แต่เกิดพายุใหญ่พัดเรือไปถึงเกาะนาควาริน คำทำนายของปู่เจ้าทำให้ท้าวสิลราชพากองเรือมุ่งหน้าไปยังเกาะแก้วพิสดาร ได้พบพระอภัยมณีและรับพระอภัยมณีกับสินสมุทรขึ้นเรือไปด้วยเพื่ออาศัยกลับบ้านเมือง แต่เมื่อเรือออกจากเกาะ นางผีเสื้อสมุทรก็มาอาละวาดอีกจนเรือแตก ท้าวสิลราชกับบริวารส่วนใหญ่สิ้นชีพ สินสมุทรพานางสุวรรณมาลีหนีไปได้ พระอภัยมณีเป่าปี่สังหารนางยักษ์
ทั้งหมดแตกกระจายพลัดพรายจากกัน พระอภัยมณีได้รับความช่วยเหลือจากอุศเรน คู่หมั้นของนางสุวรรณมาลี ที่ออกเรือมาตามหาเพราะหายไปนาน ส่วนสินสมุทรกับนางสุวรรณมาลีได้โจรสุหรั่ง โจรสลัดในน่านน้ำนั้นช่วยไว้ได้ แต่โจรคิดทำร้าย สินสมุทรจึงสังหารโจรแล้วครองเรือมาเอง แล้วได้พบศรีสุวรรณที่ออกล่องเรือเที่ยวตามหาพี่ชาย ทั้งหมดเดินทางไปด้วยกันจนมาพบพระอภัยมณีกับอุศเรน สินสมุทรรักนางสุวรรณมาลีอยากได้เป็นแม่ จึงเกิดวิวาทกับอุศเรน พระอภัยมณีไปเมืองผลึกกับนางสุวรรณมาลีและได้ขึ้นครองเมืองแทนท้าวสิลราช อุศเรนแค้นและกลับเมืองลังกายกทัพมาตีเมืองผลึก แต่แพ้อุบายนางวาลีจนสิ้นชีวิต นางละเวงวัณฬาผู้น้องสาวคิดแก้แค้น จึงใช้รูปของตนทำเสน่ห์ส่งไปหัวเมืองต่าง ๆ ให้ยกทัพมาตีเมืองผลึก
ด้านเกาะแก้วพิสดาร นางเงือกให้กำเนิดบุตรชื่อ สุดสาคร เป็นเด็กฉลาดแข็งแรง วันหนึ่งสุดสาครจับม้านิลมังกรได้ พระฤๅษีสอนวิชาให้แล้วเล่าเรื่องพระอภัยมณีให้ฟัง สุดสาครออกเดินทางตามหาพระอภัยมณีจนไปถึงเมืองการเวก ระหว่างทางถูกชีเปลือยหลอกขโมยไม้เท้าและม้านิลมังกรไป แต่พระฤๅษีมาช่วยไว้ เมื่อชิงไม้เท้าและม้านิลมังกรคืนมาได้ ก็เข้าเมืองการเวก กษัตริย์เจ้าเมืองรักใคร่เอ็นดูสุดสาคร จึงเลี้ยงดูเป็นโอรสบุญธรรมอยู่ด้วยกันกับนางเสาวคนธ์และหัสไชยพระธิดาและพระโอรส จนเติบใหญ่ สุดสาครคิดออกตามหาพ่อ เจ้าเมืองการเวกจึงจัดกองเรือให้ โดยมีนางเสาวคนธ์และหัสไชยติดตามไปด้วย ทั้งหมดล่องเรือไปถึงเมืองผลึกขณะถูกทัพลังกาและทัพพันธมิตรล้อมเมือง
พระอภัยมณี ศรีสุวรรณ สินสมุทร และสุดสาคร ช่วยเมืองผลึกรบจนสามารถเอาชนะทัพอื่นๆ ได้ พระอภัยมณีได้รูปวาดนางละเวงที่ลงเสน่ห์ทำให้เมืองต่าง ๆ พากันยกมารบเมืองผลึกตามคำขอนางนาง แล้วเกิดต้องมนต์ของนางละเวงเสียเอง พระอภัยยกทัพตามไปตีเมืองลังกา แต่รบกันเท่าใดก็ไม่แพ้ชนะเสียที ต่อมาพระอภัยมณีลอบติดรถนางละเวงเข้าไปในวัง เมื่อนางละเวงได้พบพระอภัยก็ฆ่าไม่ลง กลับหลงรักจนได้เป็นสามีภรรยากัน ส่วนบริวารอื่นของนางละเวงคือนางยุพาผกา รำภาสะหรี และสุลาลีวัน ใช้เสน่ห์กับฝ่ายพระอภัยมณี ได้แก่ ศรีสุวรรณ สินสมุทร และแม้แต่สุดสาครที่ครองตนเป็นฤๅษีก็ต้องมนต์ไปด้วย จนทั้งหมดหลงมัวเมาติดพันอยู่ในลังกาไม่ยอมกลับเมืองผลึก นางสุวรรณมาลีกับอรุณรัศมีและเสาวคนธ์จึงมาตาม แต่ไม่เป็นผล จนต้องให้หัสไชยช่วยแก้เสน่ห์ให้ลุงและเหล่าพี่ กษัตริย์ทั้งหมดยอมสงบศึกต่อกัน แต่นางเสาวคนธ์แค้นสุดสาครจึงหนีไปเมืองวาหุโลม สุดสาครต้องติดตามไปจนภายหลังจึงได้อภิเษกกัน
ด้านกรุงรัตนา ท้าวสุทัศน์สิ้นพระชนม์ พระอภัยมณีกับเหล่ากษัตริย์จึงเดินทางไปทำศพ มังคลาบุตรของพระอภัยมณีกับนางละเวงได้ครองเมืองลังกา แต่ถูกบาทหลวงยุแหย่จึงแค้นเคืองเหล่ากษัตริย์ จับตัวนางสุวรรณมาลีและพระญาติมาขังไว้ หัสไชยกับสุดสาครยกทัพมาช่วยแต่ไม่สำเร็จ แม้แต่นางละเวงผู้เป็นมารดาเองก็ห้ามปรามไม่ได้ พระอภัยมณีกับศรีสุวรรณยกทัพตามมาจึงเอาชนะศึกได้ จบศึกแล้วพระอภัยมณีอภิเษกโอรสทั้งหลายให้ครองเมืองต่าง ๆ แล้วออกบวชพร้อมกับนางสุวรรณมาลีและนางละเวงก็บวชชีแล้วตามไปปรนนิบัติด้วย ทั้งสามบำเพ็ญศีลอยู่ด้วยกันอย่างสงบสุข
อิเหนา
เริ่มเรื่องกล่าวถึงกษัตริย์วงศ์เทวา ๔ องค์ มีนามตามชื่อกรุงที่ครองราชย์ คือ กุเรปัน ดาหา กาหลัง และสิงหัดส่าหรี ยังมีนครหมันหยาซึ่งเกี่ยวดองเป็นญาติกันกับนครเหล่านี้ โดยท้าวกุเรปันได้นางนิหลาอระตาแห่งหมันหยาเป็นชายา ส่วนท้าวดาหาได้นางดาหราวาตีเป็นชายาเช่นกัน กษัตริย์แห่งวงศ์เทวามีมเหสี ๕ องค์เรียงลำดับตามตำแหน่งดังนี้ ประไหมสุหรี มะเดหวี มะโต ลิกู และเหมาหลาหงี ต่อมาท้าวกุเรปันได้โอรสกับมเหสีเอก ซึ่งโอรสองค์นี้มีวาสนาสูง องค์ปะตาระกาหลา ซึ่งเป็นต้นวงศ์เทวาอยู่บนสวรรค์ได้นำกริชวิเศษลงมาให้ พร้อมจารึกชื่อไว้บนกริชว่า "หยังหยังหนึ่งหรัดอินดรา อุดากันสาหรีปาตี อิเหนาเองหยังตาหลา" แต่เรียกสั้นๆว่า อิเหนา ท้าวหมันหยาได้ธิดากับมเหสีเอกชื่อ จินตะหราวาตี และท้าวดาหาได้ธิดากับมเหสีเอกของตนเช่นเดียวกันชื่อว่า บุษบา ท้าวกุเรปันได้ขอตุนาหงัน (หมั้นไว้) บุษบาให้แก่อิเหนา เพื่อเป็นการสืบราชประเพณี "…ตามจารีตโบราณสืบมา หวังมิให้วงศาอื่นปน…" ส่วนอิเหนาเติบโตเป็นเจ้าชายรูปงาม ชำนาญการใช้กริช ครั้นเมื่อพระอัยกีเมืองหมันหยาสิ้นพระชนม์ อิเหนาได้ไปในงานปลงพระศพแทนพระบิดาและพระมารดาซึ่งทรงครรภ์แก่ ได้ไปพบนางจินตะหราก็หลงรัก และได้นางเป็นชายา โดยไม่ฟังคำทัดทานจากท้าวกุเรปัน และได้บอกเลิกตุหนาหงันนางบุษบาเสียเฉยๆ ทำให้ท้าวดาหาขัดเคืองพระทัยมาก ดังนั้นพอจรกาซึ่ง "รูปชั่วตัวดำ" มาขอตุนาหงัน ท้าวดาหาก็ยอมรับเพราะแค้นอิเหนา
ฝ่ายองค์อสัญแดหวา (ปะตาระกาหลา) เทวดาผู้ทรงเป็นต้นวงศ์เทวาไม่พอพระทัย อิเหนา เห็นว่าต้องดัดสันดานให้สำนึกตัว จึงบันดาลให้วิหยาสะกำ โอรสท้าวกะหมังกุหนิงเก็บรูปนางบุษบาได้ เกิดคลั่งไคล้รบเร้าให้พระบิดาไปขอ ท้าวดาหาก็ให้ไม่ได้ ท้าวกะหมังกุหนิงก็รักลูกมาก จึงยกทัพไปรบเพื่อแย่งชิงนางบุษบา
ท้าวดาหาแจ้งข่าวให้ท้าวกุเรปันและจรกายกทัพมาช่วย ท้าวกุเรปันโปรดให้อิเหนาเป็นแม่ทัพยกไปช่วย อิเหนาจึงจำใจต้องจากนางจินตะหรายกทัพไปช่วยท้าวดาหารบจนได้ชัยชนะ และฆ่าท้าวกะหมังกุหนิงและวิหยาสะกำตาย หลังจากเสร็จศึกแล้ว อิเหนาได้เข้าเฝ้าได้ท้าวดาหา และเมื่อได้พบนางบุษบาเป็นครั้งแรก อิเหนาถึงกับตะลึงหลงนางบุษบา
ต่อมา มะเดหวีซึ่งคงจะวุ่นพระทัยว่าบุษบาจะลงเอยประการใด จึงชวนบุษบากับนางกำนัลไปทำพิธีเสี่ยงเทียนยังวิหาร ใกล้ๆวิหารนั้นพวกอิเหนากำลังตั้งวงเตะตะกร้อ ครั้นพวกสาวใช้มะเดหวีขึ้นมาไล่ ก็พากันวิ่งหนีกระจายไป แต่อิเหนา สังคามาระตาและประสันตาวิ่งเข้าไปแอบอยู่หลังพระปฏิมาในวิหาร วิธีเสี่ยงทายนั้น ใช้เทียนสามเล่ม เล่มหนึ่งเป็นบุษบา ปักตรงหน้านาง อีกเล่มเป็นอิเหนาปักข้างขวา และข้างซ้ายเป็นจรกา แล้วมะเดหวีสอนให้บุษบากล่าวอธิษฐานว่า "…แม้น…จะได้ข้างไหนแน่ ให้ประจักษ์แท้จงหนักหนา แม้นจะได้ข้างระตูจรกา ให้เทียนพี่ยานั้นดับไป…" บุษบาแม้จะอายใจเต็มทีก็จำต้องทำตามมะเดหวี แล้วก็มีเสียงจากปฏิมาว่า "…อันนางบุษบานงเยาว์ จะได้แก่อิเหนาเป็นแม่นมั่น จรกาใช่วงศ์เทวัญ แม้นได้ครองกันจะอันตราย" มะเดหวีได้ยินดังนั้น ก็ตื่นเต้นดี พระทัย แต่ไม่ช้าเรื่องก็แตก เพราะอิเหนาต้อนค้างคาวจนเทียนดับ แล้วใช้ความมืดเข้ามากอดบุษบา แล้วก็ไม่ยอมปล่อย จนพี่เลี้ยงไปเอาคบเพลิงมา ก็เห็นอิเหนากอดบุษบาไว้แน่น มะเดหวีจะกริ้วโกรธอย่างไร ก็เห็นว่าเสียทีอิเหนาเสียแล้ว จึงยอมสัญญาว่าจะหาทางให้อิเหนาได้กับบุษบา อิเหนาจึงยอมปล่อย ครั้นไม่เห็นทางได้บุษบาแต่โดยดี อิเหนาก็คิดอุบายที่ร้ายแรงที่สุด คือเผาโรงมโหรสพในพิธีแต่งงานของบุษบาและจรกาในเมืองดาหา แล้วลักนางไปไว้ ในถ้ำทอง ซึ่งเตรียมไว้ก่อนแล้ว
องค์ปะตาระกาหลากริ้วอิเหนามาก จึงบันดาลให้เกิดพายุใหญ่หอบรถนางบุษบาและพี่เลี้ยงไปตกที่ชายเมืองประมอตัน
แล้วแปลงกายนางบุษบาให้เป็นชายชื่อว่า อุณากรรณ ประทานกริชวิเศษให้ และบอกให้เดินทางเข้าสู่เมืองประมอตัน ต่อจากนี้ก็ถึงบทมะงุมมะงาหรา (ท่องเที่ยวหา) อิเหนาเป็นฝ่ายตามหา บุษบาเป็นฝ่ายหนีเดินทางไปตามเมืองต่างๆ ปราบเมืองนั้นๆ ไว้ในอำนาจ มีเหตุการณ์สนุกตื่นเต้นสลับซับซ้อน เช่น ธิดาเจ้าเมืองต่างๆ เข้าใจว่าอุณากรรณเป็นผู้ชายก็หลงรัก ตอนมะงุมมะงา หราเป็นเรื่องราวสักครึ่งหนึ่งของเรื่องทั้งหมด
เมื่อสิ้นเวรสิ้นกรรมแล้ว กษัตริย์วงศ์เทวาทั้งหมดก็ได้พบกัน อิเหนาได้ปรับความเข้าใจกับนางจินตะหราและได้ครองเมืองกุเรปันอย่างมีความสุขสืบ ไป
เพลงบุษบาเสี่ยงเทียน
" เทียนจุดเวียนพระพุทธา ตัวข้า บุษบาขออธิษฐาน
…เทียนที่เวียนนมัสการ บันดาลให้ หทัยสมปรารถนา
ดลจิตอิเหนา ให้เขามารักข้า ขอองค์พระปฏิมา เมตตาช่วยคิดอุ้มชู
ขอเทียนที่เวียนวน ดลฤทัยสิงสู่ ให้องค์ระเด่นเอ็นดู อย่าได้รู้คลายคลอน
…อ้า องค์พระพุท-ธา ตัวข้า บุษบาขอกราบวิงวอน
…ข้าสวดมนต์ขอพระพรวิงวอนให้ หทัยระเด่นปรานี
รักอย่าเคลือบแฝง ดังแสงเทียนริบหรี่ ขอองค์ระเด่นมนตรี โปรดมีจิตนึกเมตตา
ขอเทียนที่เสี่ยงทาย ดลให้คนรักข้ารักเพียงแต่บุษบา ดั่งข้านี้ ตั้งใจ
อ้า องค์พระพุทธา ตัวข้า บุษบาขอกราบวิงวอน
ข้าสวดมนต์ ขอพระพร วิงวอนให้ หทัยระเด่นปรานี
รัก อย่าเคลือบแฝง ดังแสงเทียนริบหรี่ ขอองค์ระเด่นมนตรี โปรดมีจิตนึกเมตตา
ขอเทียนที่เสี่ยงทาย ดลให้คนรักข้า รักเพียงแต่บุษบา ดั่งข้านี้ตั้งใจ.."
ขุนช้างขุนแผน
นานมาแล้ว มีครอบครัวสามครอบครัวตั้งบ้านเรือนอยู่ใกล้กัน ครอบครัวหนึ่งคือ ครอบครัวของขุนไกรพลพ่ายผู้รับราชการทหาร มีภรรยาชื่อ นางทองประศรี และมีลูกชายชื่อ พลายแก้ว ครอบครัวที่สอง คือ ขุนศรีวิชัย เศรษฐีใหญ่แห่งเมืองสุพรรณบุรี รับราชการเป็นนายกองกรมช้างนอก มีภรรยาชื่อ นางเทพทอง และมีลูกชายชื่อ ขุนช้าง และครอบครัวที่สาม คือ พันศรโยธา ผู้เป็นพ่อค้า มีภรรยาชื่อ ศรีประจัน และมีลูกสาวรูปงดงามนามพิมพิลาไลย วันหนึ่ง สมเด็จพระพันวษาประสงค์จะล่าควายป่า จึงสั่งให้ขุนไกรนายทหารคู่ใจปลูกพลับพลาและต้อนควายป่าเตรียมไว้ แต่ควายป่าเหล่านั้นกลับแตกตื่นและไม่ยอมเข้าคอก ขุนไกรจึงจำต้องฆ่าควายป่าตายไปหลายตัว สมเด็จพระพันวษาทราบเรื่องก็โกรธมาก และสั่งให้ประหารชีวิตขุนไกรเสีย นางทองประศรีรู้ข่าวจึงรีบพาพลายแก้วหนีไปอยู่ที่เมืองกาญจนบุรี เพราะเกรงว่าตนและลูกจะมีภัย ส่วนครอบครัวของขุนศรีวิชัยก็ถูกพวกโจรจันศรปล้นบ้านและฆ่าขุนศรีวิชัยตาย ส่วนพันศรโยธาก็เดินทางไปค้าขายต่างเมือง และติดไข้ป่าจนตาย เวลาผ่านไป จนพลายแก้วมีอายุได้ ๑๕ ปี ก็บวชเณรเรียนวิชาอยู่ที่วัดส้มใหญ่ แล้วจึงย้ายไปเรียนต่อที่วัดป่าเลไลย ต่อมา ที่วัดป่าเลไลยจัดให้มีเทศน์มหาชาติ ซึ่งเณรพลายแก้วก็ได้รับเลือกให้เป็นผู้เทศน์กัณฑ์มัทรี ซึ่งนางพิมพิลาไลยเป็นเจ้าของกัณฑ์เทศน์นี้ หลังฟังเทศน์จบ นางพิมเกิดความเลื่อมใสเป็นอย่างมาก จึงได้เปลื้องผ้าสไบบูชากัณฑ์เทศ์ เมื่อขุนช้างเห็นเช่นนั้น ก็เปลื้องผ้าห่มของตนวางเคียงคู่กับผ้าสไบของนางพิม และอธิษฐานขอให้ได้นางพิมเป็นภรรยา ซึ่งสร้างความไม่พอใจให้แก่นางพิมเป็นอย่างมาก หลังจากที่เณรพลายแก้วสึกก็ได้ขอให้นางทองประศรีมาสู่ขอนางพิม จนได้แต่งงานกันในที่สุด พอดีกับช่วงนั้น กรุงศรีอยุธยาจะต้องยกทัพไปตีเมืองเชียงใหม่ สมเด็จพระพันวษาจึงถามหาเชื้อสายของขุนไกร ขุนช้างซึ่งขณะนั้นได้เข้ารับราชการอยู่ จึงทูลเล่าเรื่องราวความเก่งกล้าสามารถของพลายแก้ว เพื่อหวังจะพรากให้พลายแก้วกับนางพิมห่างไกลกัน เมื่อสมเด็จพระพันวษาทราบเรื่อง จึงสั่งให้ไปตามตัวพลายแก้ว แล้วแต่งตั้งให้เป็นแม่ทัพไปรบกับเมืองเชียงใหม่ ส่วนนางพิมพิลาไลย เมื่อสามีออกไปรบได้ไม่นาน ก็เกิดอาการป่วยหนัก ขรัวตาจูแห่งวัดป่าเลไลยจึงแนะนำให้เปลี่ยนชื่อเป็นวันทอง ซึ่งเมื่อเปลี่ยนแล้วก็พบว่าอาการไข้ที่เป็นก็หายไปอย่างน่าอัศจรรย์ ระหว่างที่พลายแก้วออกศึก ขุนช้างแสลงทำอุบายนำหม้อใหม่ใส่กระดูกไปให้นางศรีประจันกับนางวันทองดูว่าพลายแก้วตายแล้ว และขู่ว่านางวันทองจะต้องถูกคุมตัวไว้เป็นม่ายหลวงตามกฎหมาย ด้วยความกลัวและถูกบังคับนางศรีประจันจึงยกนางวันทองให้แก่ขุนช้าง นางวันทองจำต้องตามใจแม่และยอมแต่งงานด้วย แต่นางก็ยังไม่ยอมเข้าหอกับขุนช้างอยู่ดี เมื่อพลายแก้วเสร็จศึกและได้ชัยชนะกลับมา พลายแก้วก็ได้นางลาวทอง ลูกสาวของนายบ้านแสนคำแมนแห่งหมู่บ้านจอมทองกลับมาเป็นรางวัลด้วย เมื่อกลับมาถึงกรุงศรีอยุธยาก็ได้รับบรรดาศักดิ์เป็นแผนแสนสะท้าน แผนแสนสะท้านพานางลาวทองกลับเมืองสุพรรณบุรี เมื่อนางวันทองเห็นขุนแผนพาภรรยาใหม่กลับมาด้วย ก็โกรธและด่าทอนางลาวทองและขุนแผน จนทำให้ขุนแผนโมโหพานางลาวทองหนีไปอยู่ที่กาญจนบุรี ส่วนนางวันทองก็จำต้องตกเป็นภรรยาของขุนช้างอย่างจำใจต่อมาขุนช้างและขุนแผนเข้าไปรับราชการอบรมในวังและได้เลื่อนตำแหน่งเป็นมหาดเล็กเวรทั้งสองคน วันหนึ่งนางทองประศรีให้คนมาส่งข่าวว่านางลาวทองป่วยหนัก ขุนแผนจึงฝากเวรไว้กับขุนช้างแล้วรีบกลับไปดูอาการของนางลาวทอง พอรุ่งเช้า สมเด็จพระพันวษาถามถึงขุนแผน ขุนช้างก็ให้ร้ายว่าขุนแผนปีนกำแพงวังหนีกลับไปหาภรรยา เมื่อได้ฟังดังนั้น สมเด็จพระพันวษาก็โกรธจึงสั่งให้นำตัวนางลาวทองมากักไว้ในวัง และส่งให้ขุนแผนไปตระเวนนอกวัง ขุนแผนแค้นขุนช้างมาก จึงคิดจะช่วงชิงนางวันทองกลับคืนมา ขุนแผนออกอุบายหาของวิเศษ ๓ อย่าง คือ ดาบวิเศษ กุมารทอง และม้าฝีเท้าดี เพื่อใช้เป็นอาวุธในการแก้แค้น เมื่อขุนแผนเดินทางไปถึงซ่องโจรของหมื่นหาญ ก็สมัครเข้าเป็นสมุนและได้ช่วยชีวิตหมื่นหาญให้รอดพ้นจากการถูกวัวแดงขวิดตาย หมื่นหาญจึงได้ยกนางบัวคลี่ลูกสาวของตนให้เป็นภรรยาเพื่อตอบแทนในน้ำใจ ต่อมา หมื่นหาญเริ่มเห็นว่าขุนแผนมีวิชาอาคมที่เหนือกว่าตน ก็คิดกำจัดให้พ้นทาง หมื่นหาญจึงสั่งให้นางบัวคลี่วางยาพิษเพื่อฆ่าขุนแผน แต่โหงพรายที่ขุนแผนเลี้ยงไว้ก็มาบอกให้ขุนแผนรู้ตัว คืนนั้นพอนางบัวคลี่นอนหลับ ขุนแผนจึงผ่าท้องนางเพื่อควักเอาเด็กไปทำพิธีปลุกเสกเป็นกุมารทอง ต่อจากนั้น ขุนแผนก็ทำพิธีตีดาบฟ้าฟื้นและไปซื้อม้าลักษณะดีได้ตัวหนึ่ง ชื่อ ม้าสีหมอก จนได้ของวิเศษที่ต้องการครบ ๓ อย่าง มื่อเตรียมการเสร็จ ขุนแผนก็ไปบุกที่บ้านของขุนช้าง แล้วสะกดให้ทุกคนหลับจนหมด จากนั้นจึงขึ้นไปบนบ้านแต่เข้าห้องผิดไปพบนางแก้วกิริยาแทน ขุนแผนจึงได้นางแก้วกิริยาเป็นภรรยา หลังจากนั้น ก็ไปปลุกนางวันทองแล้วพาขึ้นม้าหนีเข้าป่าไปด้วยกัน เมื่อขุนช้างรู้ว่านางวันทองโดนขุนแผนลักตัวไป ก็นำเรื่องไปฟ้องสมเด็จพระพันวษา พระองค์โปรดให้ทหารตามจับตัวขุนแผน แต่ก็ถูกขุนแผนฆ่าตายไปเสียหมด ขุนแผนกับนางวันทองหลบซ่อนตัวอยู่ในป่า จนนางวันทองตั้งท้องจึงพากันออกมามอบตัวสู้คดีกับขุนช้าง ขุนแผนชนะคดี จึงได้พานางวันทองและนางแก้วกิริยากลับมาอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข แต่ขุนแผนก็ยังนึกถึงนางลาวทอง จึงขอร้องจมื่นศรีเสาวรักษ์ขอตัวนางลาวทองจากสมเด็จพระพันวษากลับคืนมา สมเด็จพระพันวษาโกรธที่ขุนแผนกำเริบ จึงสั่งจำคุกขุนแผนไว้ ภรรยาของขุนแผนที่ชื่อนางแก้วกิริยาก็ขอตามไปปรนนิบัติขุนแผนในคุกด้วย ส่วนนางวันทองได้พักอยู่ที่บ้านของหมื่นศรี ขุนช้างรู้เข้าจึงพาพรรคพวกมาฉุดเอานางวันทองกลับไปเป็นภรรยาของตนอีก ต่อมานางวันทองได้คลอดลูกชาย นามว่าพลายงาม ขุนช้างรู้ว่าลูกที่เกิดมานี้ไม่ใช่ลูกของตนก็เกิดความเกลียดชัง และหลอกพาเข้าไปในป่าเพื่อฆ่าเสีย แต่โหงพรายของขุนแผนก็มาช่วยไว้ได้ทัน นางวันทองจึงส่งให้ลูกไปอยู่กับนางทองประศรีที่กาญจนบุรี พลายงามจึงได้ร่ำเรียนวิชาของพ่อจนเชี่ยวชาญ และได้พาไปฝากไว้กับหมื่นศรี เพื่อหาโอกาสให้เข้ารับราชการ ฝ่ายพระเจ้าเชียงอินทร์ เจ้าเมืองเชียงใหม่ ได้ส่งทหารไปชิงตัวนางสร้อยทองธิดาระหว่างที่เดินทางไปยังกรุงศรีอยุธยา พระเจ้าล้านช้างต้องการผูกไมตรีด้วยจึงส่งธิดามาถวายตัว จากนั้นพระเจ้าเชียงอินทร์ก็ยังส่งหนังสือท้ารบไปยังสมเด็จพระพันวษาอีกด้วย ด้วยเหตุนี้เอง พลายงามจึงได้โอกาสในออกรบ และขอให้ปล่อยขุนแผนออกจากคุกเพื่อจะได้ร่วมกันทำศึก ในขณะที่กำลังเตรียมทัพ นางแก้วกิริยาก็คลอดลูกเป็นชายและตั้งชื่อว่า พลายชุมพล ขุนแผนกับพลายงามร่วมกันคุมทัพมุ่งสู่เมืองเชียงใหม่ ระหว่างทางขุนแผนได้แวะเยี่ยมพระพิจิตรกับนางบุษบาซึ่งเคยให้ความช่วยเหลือตนไว้ ครั้งนั้น พลายงามจึงได้พบนางศรีมาลาและได้นางกลับมาเป็นภรรยา หลังจากเสร็จศึกและได้ชัยชนะกลับมา ขุนแผนได้รับแต่งตั้งเป็นพระสุรินฤาไชยผู้ครองเมืองกาญจนบุรี ส่วนพลายงามก็ได้รับแต่งตั้งเป็นจมื่นไวยวรนาถ และได้นางสร้อยฟ้าธิดาของพระเจ้าเชียงอินทร์เป็นภรรยาเพิ่มอีกคน พระไวยต้องการให้แม่กลับมาอยู่กับตนและพ่ออีกครั้ง จึงไปลักพาตัวนางวันทองกลับมา ขุนช้างรู้เข้าก็โกรธเคืองและนำความไปฟ้องสมเด็จพระพันวษา สมเด็จพระพันวษาให้โอกาสนางวันทองตัดสินใจว่าจะเลือกอยู่กับใคร แต่นางก็ตัดสินใจไม่ได้ สมเด็จพระพันวษาจึงกล่าวหาว่านางวันทองเป็นหญิงสองใจ และรับสั่งให้นำตัวไปประหารชีวิต พระไวยพยายามอ้อนวอนขออภัยโทษแต่ก็ห้ามการประหารไม่ทัน ครอบครัวของพระไวยก็ไม่ได้ราบรื่นนักและมักมีการทะเลาะวิวาทกันอยู่เสมอ เนื่องจากนางสร้อยฟ้าไม่พอใจที่พระไวยและนางทองประศรีรักนางศรีมาลามากกว่านาง นางสร้อยฟ้าจึงให้ขอให้เถรขวาดทำเสน่ห์ให้พระไวยหลงรักตนและใส่ความให้พระไวยตีนางมาลา เมื่อพลายชุมพลรู้เข้าก็เข้าไปห้ามแต่ก็ถูกตีตามไปด้วย พลายชุมพลจึงนึกน้อยใจและหนีออกจากบ้านไปหาพ่อแม่ที่กาญจนบุรี ก่อนจะหนีไปบวชเณรต่อที่สุโขทัย ฝ่ายขุนแผนก็รีบไปที่บ้านพระไวย แล้วเสกกระจกมนต์ให้พระไวยรู้ว่าถูกทำเสน่ห์ แต่พระไวยก็ยังไม่เชื่อและพูดลำเลิกบุญคุณเรื่องที่ช่วยพ่อออกมาจากคุก ขุนแผนโกรธมากจึงประกาศตัดพ่อตัดลูก แล้วหนีกลับไปกาญจนบุรีทันที
เมื่อพลายชุมพลร่ำเรียนวิชาสำเร็จก็สึกออกมานัดหมายกับขุนแผนเพื่อแก้แค้นพระไวย พลายชุมพลปลอมตัวเป็นมอญ โดยใช้ชื่อว่า สมิงมัตรา ยกกองทัพหุ่นหญ้าเสกมาตีเมืองสุพรรณบุรี สมเด็จพระพันวษาจึงสั่งให้ขุนแผนยกทัพไปต้านศึก ขุนแผนแกล้งแพ้เพื่อให้พระไวยจำต้องยกทัพไปต่อสู้กับพลายชุมพล ระหว่างที่กำลังต่อสู้กัน ขุนแผนบอกให้พลายชุมพลจับตัวพระไวยไว้ พระไวยเห็นพ่อก็ตกใจ จึงหนีกับไปฟ้องสมเด็จพระพันวษา พระองศ์จึงสั่งให้นางศรีมาลาไปรับตัวขุนแผนกับพลายชุมพลเข้าวัง พลายชุมพลอาสาจับเสน่ห์ โดยขอให้หมื่นศรีไปเป็นพยานด้วย พลายชุมพลจับตัวเถรขวาดกับเณรจิ๋วไว้ แล้วขุดรูปปั้นลงอาคมที่ฝั่งไส้ใต้ดินขึ้นมาได้ มนต์เสน่ห์ที่ทำไว้จึงคลายลง พอตกดึกเถรขวาดกับเณรจิ๋วก็แอบสะเดาะโซ่ตรวนหลบหนีไป ในการไต่สวนคดี นางสร้อยฟ้าไม่ยอมรับว่าตนเป็นคนทำเสน่ห์ และใส่ร้ายว่านางศรีมาลาเป็นชู้กับพลายชุมพล พอนางจับได้พลายชุมพลก็หนีไปยุยงขุนแผน ด้วยเหตุนี้จึงมีการพิสูจน์ความบริสุทธิ์โดยการลุยไฟ ซึ่งนางสร้อยฟ้าก็แพ้และถูกไฟลวกจนพุพอง ส่วนนางศรีมาลากลับไม่เป็นอะไรเลย สมเด็จพระพันวษาจึงสั่งประหารนางสร้อยฟ้า แต่นางศรีมาลาก็ขออภัยโทษไว้ นางสร้อยฟ้าจึงถูกเนรเทศกลับไปอยู่ที่เมืองเชียงใหม่ตามเดิม ระหว่างเดินทางกลับเมืองเชียงใหม่ก็ได้พบกับเถรขวาดกับเณรจิ๋ว จึงได้เดินทางกลับไปด้วยกัน ต่อมาไม่นาน นางสร้อยฟ้าก็ให้กำเนิดลูกชายนามว่าพลายยง ส่วนนางศรีมาลาก็คลอดลูกชายเช่นกัน นามว่าพลายเพชร พระเจ้าเชียงอินทร์แต่งตั้งเถรขวาดให้เป็นพระสังฆราช เพื่อตอบแทนความดีความชอบที่พานางสร้อยฟ้ากลับมาบ้านเมืองได้อย่างปลอดภัย แต่เถรขวาดก็ยังแค้นพลายชุมพลจึงเดินทางมาที่กรุงศรีอยุธยา และแปลงร่างเป็นจระเข้ เพื่ออาละวาดฆ่าคนและสัตว์เลี้ยงในเมือง พลายชุมพลจึงอาสาออกปราบจระเข้จนสำเร็จ และได้ตัวเถรขวาดมาประหารชีวิต ความดีความชอบครั้งนี้ส่งผลให้พลายชุมพลได้บรรดาศักดิ์เป็นหลวงนายฤทธิ์ และนับจากนั้นเป็นตนมา ทุกคนก็อยู่กันอย่างมีความสุขตลอดไป
ไกรทอง ชาละวัน

ณ ถ้ำทอง ซึ่งเป็นที่อยู่ของจระเข้ ในนั้นมีลูกแก้ววิเศษที่ส่องแสงดุจเวลากลางวัน และเมื่อจระเข้ย่างกรายเข้ามาในถ้ำนี้ ก็จะกลายร่างเป็นมนุษย์ทันที ท้าวรำไพ จระเข้เฒ่าผู้ทรงศีลและไม่กินเนื้อ มีบุตรชื่อ ท้าวโคจร และมีหลานชื่อ ชาละวัน วันหนึ่ง ท้าวโคจรเกิดทะเลาะวิวาทเพื่อแย่งชิงความเป็นใหญ่กับท้าวพันตาและพญาพันวัง ทั้งสามต่อสู้กันอย่างดุเดือด จนสุดท้ายก็จบชีวิตลงทุกตัว ด้วยเหตุนี้เอง พญาชาละวัน บุตรของท้าวโคจร จึงได้ขึ้นเป็นใหญ่ปกครองถ้ำบาดาลแต่เพียงผู้เดียว และได้จระเข้สาวสองตัว คือ วิมาลา กับ เลื่อมลายวรรณ มาเป็นภรรยา และด้วยความลุ่มหลงในอำนาจ ชาละวันผู้มีนิสัยดุร้าย และต้องการกินเนื้อมนุษย์ จึงออกล่าเหยื่อด้วยความโหดเหี้ยมจนสร้างความวุ่นวายไปทั่วเมืองณ เมืองพิจิตร มีพี่น้องสาวสวยคู่หนึ่ง คือ พี่ตะเภาแก้ว และน้องตะเภาทอง ทั้งสองเป็นบุตรของเศรษฐีผู้มั่งคั่งในเมืองนี้ วันหนึ่งทั้งสองลงไปเล่นน้ำในคลองหน้าบ้าน กับบ่าวไพร่อีกหลายคน ระหว่างนั้นเอง เจ้าชาละวัน ซึ่งกลายร่างเป็นจระเข้อันธพาลก็ผ่านมาพบเจอนางตะเภาทองพอดี ชาละวันเกิดความลุ่มหลงในรูปของตะเภาทอง จึงคาบเอาตัวนางดำดิ่งลงไปยังถ้ำทองด้วยความหึกเหิมลำพองเมื่อนางตะเภาทองฟื้นขึ้นมา ก็ต้องตกตะลึงกับความสวยงามถ้ำ และแปลกใจที่ได้เห็นพญาชาละวันกลายร่างเป็นชายรูปงาม แต่นางตะเภาทองก็ไม่ได้สนใจในความงามของชาละวันแต่อย่างใด จนทำให้ชาละวันต้องใช้เวทมนตร์สะกดให้นางหลงรักและยอมเป็นภรรยาเมื่อนางวิมาลา และเลื่อมลายวรรณ ผู้เป็นภรรยารู้เข้า ก็เกิดความหึงหวงและไม่พอใจ แต่ก็ไม่อาจห้ามสามีได้ ฝ่ายท่านเศรษฐีก็เสียใจมากที่บุตรสาวของตนหายตัวไป และออกประกาศว่า หากใครพบศพนางตะเภาทอง และสามารถปราบจระเข้ร้ายตัวนี้ได้ จะมอบสมบัติของตนเองให้ครึ่งหนึ่ง และที่สำคัญจะยกนางตะเภาแก้วให้แต่งงานด้วยเมื่อข่าวนี้รู้ถึงหูของไกรทอง หนุ่มรูปงามจากเมืองนนทบุรี ซึ่งมีวิชาการปราบจระเข้ติดตัวมาจากอาจารย์คง ไกรทองจึงอาสาสมัครมาปราบเจ้าจระเข้ร้ายตัวนี้ก่อนหน้านั้นเอง เจ้าชาละวันได้ฝันว่า เกิดไฟลุกไหม้และน้ำท่วมทะลักเข้าถ้ำ ทั้งยังเกิดแผ่นดินไหวแปรปรวน ทันใดนั้นเอง ก็ปรากฏร่างเทวดามาฟันคอของตนจนขาดกระเด็น ชาละวันเกิดความกังวลเป็นอย่างมาก จึงได้นำความฝันไปเล่าให้ปู่ท้าวรำไพฟัง ด้วยเหตุนี้เอง เจ้าชาละวันจึงต้องจำศีลอยู่ในถ้ำนาน 7 วัน เพราะหากออกไปนอกถ้ำอาจจะพบกับภัยพิบัติร้ายจนถึงแก่ชีวิตรุ่งเช้า ไกรทองเริ่มตั้งพิธีบวงสรวงพร้อมร่ายคาถาจนทำให้เจ้าชาละวันเกิดอาการร้อนลุ่มจนต้องออกมาจากถ้ำ เพื่อขึ้นมาต่อสู้กับไกรทอง ไกรทองกระโดดขึ้นบนหลังจระเข้และใช้หอกสัตตโลหะแทงลงไปที่ตัวของชาละวัน อาคมของเขี้ยวเพชรจึงเสื่อมลง และทำให้เจ้าชาละวันบาดเจ็บสาหัสจนต้องหนีกลับไปที่ถ้ำไกรทองไม่ลดละความพยายาม จึงใช้เทียนระเบิดน้ำตามไปต่อสู้กับชาละวันต่อในถ้ำบาดาล ระหว่างทางก็ได้พบ กับนางวิมาลา และเกี้ยวพาราสีจนนางใจอ่อนยอมเป็นชู้ ไกรทองตามมาต่อสู้กับเจ้าชาละวันต่อในถ้ำ จนท้ายที่สุดเจ้าชาละวันก็เสียท่าและถูกแทงจนสิ้นใจตาย กลายเปลี่ยนเป็นจระเข้ยักษ์นอนตายอยู่กลางถ้ำทองไกรทองได้พานางตะเภาทองกลับขึ้นมาบนโลกมนุษย์ดังเดิม เมื่อเศรษฐีได้เจอลูกสาวอีกครั้งก็ดีใจมากที่ลูกสาวของตนยังมีชีวิตอยู่ เศรษฐีได้จัดงานแต่งงานให้แก่ไกรทองและนางตะเภาแก้ว พร้อมมอบสมบัติให้ครึ่งหนึ่งตามสัญญา แถมยังให้นางตะเภาทองเป็นภรรยาเพิ่มไปด้วยอีกคนแต่ถึงกระนั้น ใจของไกรทองก็ยังไม่ลืมนางวิมาลา จึงแอบกลับไปหาเพื่ออยู่กินด้วยกัน พร้อมทำพิธีให้นางยังคงเป็นมนุษย์ได้แม้อยู่นอกถ้ำทองนางตะเภาแก้วและนางตะเภาทอง จับได้ว่าสามีของตนแอบไปมาหาสู่นางจระเข้ จึงพากันไปเอาเรื่องจนนางวิมาลาทนไม่ไหว และหนีกลับถ้ำทองไปในที่สุด ไกรทองจึงต้องอำลาจากนางวิมาลาด้วยใจอาวรณ์ และกลับมาอยู่กับภรรยาทั้งสองดังเดิม
ปลาบู่ทอง

สังข์ทอง
.jpg)
ท้าวยศวิมลมีมเหสีชื่อนางจันท์เทวี มีสนมเอกชื่อนางจันทาเทวี ไม่มีโอรสธิดา จึงบวงสรวงและรักษาศีลห้าเพื่อขอบุตร และประกาศแก่พระมเหสีและนางสนมว่าถ้าใครมีโอรสก็จะมอบเมืองให้ครองอยู่มานางจันท์เทวีทรงครรภ์ เทวบุตรจุติมา เป็นพระโอรสของนาง แต่ประสูติมาเป็นหอยสังข์ นางจันทาเทวีเกิดความริษยาจึงติดสินบนโหรหลวงให้ทำนายว่าหอยสังข์จะทำให้บ้านเมืองเกิดความหายนะ ท้าวยศวิมลหลงเชื่อนางจันทาเทวี จึงจำใจต้องเนรเทศนางจันท์เทวีและหอยสังข์ไปจากเมืองนางจันท์เทวีพาหอยสังข์ไปอาศัยตายายช่าวไร่ ช่วยงานตายายเป็นเวลา 5 ปี พระโอรสในหอยสังข์แอบออกมาช่วยทำงาน เช่น หุงหาอาหาร ไล่ไก่ไม่ให้จิกข้าว เมื่อนางจันท์เทวีทราบก็ทุบหอยสังข์เสียในเวลาต่อมา พระนางจันทาเทวีได้ไปว่าจ้างแม่เฒ่าสุเมธาให้ช่วยทำเสน่ห์เพื่อที่ท้าวยศวิมลจะได้หลงอยู่ในมนต์สะกด และได้ยุยงให้ท้าวยศวิมลไปจับตัวพระสังข์มาประหาร ท้าวยศวิมลจึงมีบัญชาให้จับตัวพระสังข์มาถ่วงน้ำ แต่ท้าวภุชงค์(พญานาค) ราชาแห่งเมืองบาดาลก็มาช่วยไว้ และนำไปเลี้ยงเป็นบุตรบุญธรรม ก่อนจะส่งให้นางพันธุรัตเลี้ยงดูต่อไปจนพระสังข์มีอายุได้ 15 ปีบริบูรณ์วันหนึ่ง นางพันธุรัตได้ไปหาอาหาร พระสังข์ได้แอบไปเที่ยวเล่นที่หลังวัง และได้พบกับบ่อเงิน บ่อทอง รูปเงาะ เกือกทอง(รองเท้าทองนั้นเอง) ไม้พลอง และพระสังข์ก็รู้ความจริงว่านางพันธุรัตเป็นยักษ์ เมื่อพระสังข์พบเข้ากับโครงกระดูก จึงได้เตรียมแผนการหนีด้วยการสวมกระโดดลงไปชุบตัวในบ่อทอง สวมรูปเงาะ กับเกือกทอง และขโมยไม้พลองเหาะหนีไปเมื่อนางพันธุรัตทราบว่าพระสังข์หนีไป ก็ออกตามหาจนพบพระสังข์อยู่บนเขาลูกหนึ่ง จึงขอร้องให้พระสังข์ลงมา แต่พระสังข์ก็ไม่ยอม นางพันธุรัตจึงเขียนมหาจินดามนตร์ที่ใช้เรียกเนื้อเรียกปลาได้ไว้ที่ก้อนหิน ก่อนที่นางจะอกแตกตาย ซึ่งพระสังข์ได้ลงมาท่องมหาจินดามนตร์จนจำได้ และได้สวมรูปเงาะออกเดินทางต่อไปพระสังข์เดินทางมาถึงเมืองสามล ซึ่งมีท้าวสามลและพระนางมณฑาปกครองเมือง ซึ่งท้าวสามลและพระนางมณฑามีธิดาล้วนถึง 7 พระองค์ โดยเฉพาะ พระธิดาองค์สุดท้องที่ชื่อ รจนา มีสิริโฉมเลิศล้ำกว่าธิดาทุกองค์ จนวันหนึ่ง ท้าวสามลได้จัดให้มีพิธีเสี่ยงมาลัยเลือกคู่ให้ธิดาทั้งเจ็ด ซึ่งธิดาทั้ง 6 ต่างเสี่ยงมาลัยได้คู่ครองทั้งสิ้น เว้นแต่นางรจนาที่มิได้เลือกเจ้าชายองค์ใดเป็นคู่ครอง ท้าวสามลจึงได้ให้ทหารไปนำตัวพระสังข์ในร่างเจ้าเงาะซึ่งเป็นชายเพียงคนเดียวที่เหลือในเมืองสามล ซึ่งนางรจนาเห็นรูปทองภายในของเจ้าเงาะ จึงได้เสี่ยงพวงมาลัยให้เจ้าเงาะ ทำให้ท้าวสามลโกรธมาก เนรเทศนางรจนาไปอยู่ที่กระท่อมปลายนากับเจ้าเงาะท้าวสามลคิดจะกำจัดเจ้าเงาะทุกวิถีทาง จึงได้ให้เขยทั้งหมดไปจับปลามาให้ได้คนละร้อยตัว พระสังข์จึงได้ถอดรูปเงาะออก และท่องมหาจินดามนตร์จนได้ปลามานับร้อย ส่วนหกเขยจับปลาไม่ได้เลยสักตัว จึงเข้ามาขอพระสังข์เพราะคิดว่าเป็นเทวดา พระสังข์ก็ยินดีให้ แต่ต้องแลกกับปลายจมูกของหกเขยด้วยต่อมา ท้าวสามลได้ให้เขยทั้งหมดไปหาเนื้อมาให้ได้คนละร้อยตัว พระสังข์ก็ใช้มหาจินดามนตร์จนได้เนื้อมานับร้อย ส่วนหกเขยก็หาไม่ได้อีกตามเคย และได้เข้ามาขอพระสังข์ พระสังข์ก็ยินดีให้ แต่ต้องแลกกับปลายหูของหกเขยด้วย ณ สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ของพระอินทร์ อาสน์ที่ประทับของพระอินทร์เกิดแข็งกระด้าง อันเป็นสัญญาณว่ามีผู้มีบุญกำลังเดือดร้อน จึงส่องทิพยเนตรลงไปพบเหตุการณ์ในเมืองสามล จึงได้แปลงกายเป็นกษัตริย์เมืองยกทัพไปล้อมเมืองสามล ท้าให้ท้าวสามลออกมาแข่งตีคลีกับพระองค์ หากท้าวสามลแพ้ พระองค์จะยึดเมืองสามลเสียท้าวสามลส่งหกเขยไปแข่งตีคลีกับพระอินทร์ แต่ก็แพ้ไม่เป็นท่า จึงจำต้องเรียกเจ้าเงาะให้มาช่วยตีคลี ซึ่งนางรจนาได้ขอร้องให้สามีช่วยถอดรูปเงาะมาช่วยตีคลี เจ้าเงาะถูกขอร้องจนใจอ่อน และยอมถอดรูปเงาะมาช่วยเมืองสามลตีคลีจนชนะในที่สุดหลังจากเสร็จภารกิจที่เมืองสามลแล้ว พระอินทร์ได้ไปเข้าฝันท้าวยศวิมล และเปิดโปงความชั่วของพระนางจันทาเทวี พร้อมกับสั่งให้ท้าวยศวิมลไปรับพระนางจันท์เทวีกับพระสังข์มาอยู่ด้วยกันดังเดิม ท้าวยศวิมลจึงยกขบวนเสด็จไปรับพระนางจันท์เทวีกลับมา และพากันเดินทางไปยังเมืองสามลเมื่อตามหาพระสังข์ท้าวยศวิมลและพระนางจันท์เทวีปลอมตัวเป็นสามัญชนเข้าไปอยู่ในวัง โดยท้าวยศวิมลเข้าไปสมัครเป็นช่างสานกระบุง ตะกร้า ส่วนพระนางจันท์เทวีเข้าไปสมัครเป็นแม่ครัว และในวันหนึ่ง พระนางจันท์เทวีก็ปรุงแกงฟักถวายพระสังข์ โดยพระนางจันท์เทวีได้แกะสลักชิ้นฟักเจ็ดชิ้นเป็นเรื่องราวของพระสังข์ตั้งแต่เยาว์วัย ทำให้พระสังข์รู้ว่าพระมารดาตามมาแล้ว จึงมาที่ห้องครัวและได้พบกับพระมารดาที่พลัดพรากจากกันไปนานอีกครั้งหลังจากนั้น ท้าวยศวิมล พระนางจันท์เทวี พระสังข์กับนางรจนาได้เดินทางกลับเมืองยศวิมล ท้าวยศวิมลได้สั่งประหารพระนางจันทาเทวี และสละราชสมบัติให้พระสังข์ได้ครองราชย์สืบต่อมา
นางสิบสอง และพระรถ-เมรี

ในกาลก่อน มีเศรษฐีคนหนึ่งมีชื่อเรียกกันว่า "นนท์" ตั้งบ้านเรือนอยู่ในบ้านชื่อว่า"สนิทคาม" เป็นผู้ไม่มีลูกเลยครั้งหนึ่งนนท์เศรษฐีนั้นรำพึงอยู่ในใจว่า "เราไม่มีลูกกับเขาเลยจำเราจะทำบุญแล้วอธิษฐานขอลูก บางทีจะสมประสงค์บ้าง" คิดดังนั้นแล้วก็หากล้วยได้สิบสองผลทูลศรีษะไปวัดถวายกล้วยนั้นแก่พระแล้วตั้งความปรารถนาขอลูก ต่อนั้นมาภริยาเศรษฐีนั้นก็มีลูกหญิง เป็นลำดับกันไปถึงสิบสองคน (ตามเรื่องที่เล่ากันนางคนสุดท้องชื่อนางเภา) สองคนผัวเมียได้เลี้ยงลูกหญิงทั้งสิบสองนั้น ทรัพย์สมบัติของตนร่อยหรอลงทุกทีจนสิ้นเนื้อประดาตัวบ่าวไพ่ก็พากันหนีหายไปตามกัน ในที่สุดสองผัวเมียนั้นก็ถึงแก่ยากจน ภายหลังนนท์เศรษฐีคิดขัดใจว่าเป็นเพราะลูกหญิงสิบสองคนนี้เองทำให้ตนยากจนลง จึงเอาลูกหญิงทั้งสิบสองคนนั้นใส่เกวียนพาไปปล่อยเสียในป่า แล้วก็ขับเกวียนลอบหนีกลับมาบ้านเรือนโดยมิให้รู้ตัวส่วนนางสิบสองคนเมื่อถูกปล่อยไว้ในป่าเช่นนั้น ต่างก็เที่ยวตามหาบิดาไปในที่ต่างๆ จนไปถึงสวนของ นางยักษ์ชื่อว่า สนธมารขณะนั้นนางยักษ์สนธมารมาเที่ยวเล่นอยู่ในสวน ครั้นได้เห็นนางสิบสองเดินซัดเซมาดังนั้น ก็มีจิตรักใคร่ จึงพาไปเลี้ยงไว้เหมือนน้องสาวของตัวทั้งสิบสองคนวันหนึ่ง พี่สาวใหญ่ได้เห็นนางยักษ์กินเนื้อคน จึงบอกแก่พวกน้องๆ ว่า "พวกเราพากันมาอยู่ในสำนักของนางยักษ์เป็นแน่" แล้วก็เล่าความลับที่ตนได้เห็นมานั้นให้น้องสาวฟังทุกประการ พวกน้องสาวได้ฟังก็ตกในกลัว ครั้นเวลานางยักษ์ไม่อยู่ก็พากันหนีไปทั้งสิบสองคน เมื่อนางยักษ์กลับมาไม่เห็นนางสิบสองก็ออกติดตามไป ส่วนนางสิบสองนั้นหนีไปได้ไม่สู้ไกลนัก ก็เห็นนางยักษ์ตามมา ต่างตกใจกลัว พากันวิ่งมาพบช้าง จึงอ้อนวอนช้างขอให้ช่วย ช้างจึงหาที่ซ่อนให้นางทั้งสิบสองคน นางยักษ์เที่ยวตามหานางสิบสองไม่พบครั้นมาพบช้างนางจึงถามว่า "ช้าง เจ้าเห็นนางสิบสองมาทางนี้บ้างหรือไม่" ช้างตอบว่า "ไม่เห็น" นางยักษ์ก็กลับไป เมื่อนางสิบสองเห็นนางยักษ์ไปพ้นแล้วจึงออกจากที่ซ่อนแล้วพากันหนีต่อไป ไม้ช้านางยักษ์ก็ตามมาอีก นางสิบสองวิ่งมาพบม้า ม้าก็หาที่ซ่อนให้เช่นเดียวกัน นางยักษ์ไม่เห็นจึงถามม้าว่า "ม้า เจ้าเห็นนางสิบสองบ้างหรือไม่" ม้าตอบว่า "ไม่เห็น" นางยักษ์ก็กลับไปอีกฝ่ายนางสิบสองเห็นนางยักษ์ไปพ้นแล้วก็ออกจากที่ซ่อน พากันหนีต่อไป และนางยักษ์ก็ตามมาอีกนางสิบสองวิ่งมาพบโค โคก็หาที่ซ่อนให้เช่นเดียวกัน เมืองนางยักษ์ไม่เห็นก็ถามโคว่า "โค เจ้าเห็นนางสิบสองบ้างหรือไม่" โคตอบว่า "ไม่เห็น" นางยักษ์กลับไปอีกครั้นแล้วนางสิบสองก็ออกจากที่ซ่อน เที่ยวดั้นด้นหนีไปตามบุญตามกรรมจนถึงเมืองกุตารนคร เห็นต้นไทรใหญ่ต้นหนึ่งอยู่ริมสระใกล้กับพระนคร ต่างก็พากันขึ้นไปนั่งพักอยู่บนต้นไทรนั้นครั้งนั้นเจ้าเมืองกุตารนครทรงพระนามว่าพรเจ่ารถสิทธ์ราชพระองค์ได้ประทานหม้อน้ำทองแก่นางค่อมทาสีคนหนึ่งหรับตักน้ำสรงถวาย ครั้นถึงเวลานางค่อมก็ถือหม้อน้ำทองไปยังสระนั้นรัศมีของนางสอบสองซึ่งตนี่งอยู่บนต้นไทรนั้น ฉายส่องสว่างลงมาถูกตัวนางค่อมแลดูงามเหมือนแสงทอง นางค่อมจึงสำคัญตัวว่านางมีบุญมาสีกายเป็นสีทองงดงามถึงปานนั้น ไม่สมควรจะเป็นหญิงตักน้ำเลย ทำให้นางทะนงตัวถึงแก่โกรธแค้นทุบหม้อน้ำทองนั้นบุบสลายสิ้น ครั้นนางรู้สึกตนเห็นหม้อน้ำนั้นแตกเสียแล้ว จึงกลับมากราบทูลพระเจ้ารถสิทธิ์ พระเจ้ารถสิทธ์ก็ประทานหม้อน้ำเงินให้ใหม่ นางค่อมก็นำไปยังสระนั้น และเมื่อเห็นตัวนางงดงามเหมือนคราวก่อนก็บันดาลโทสะขึ้นมา ทุบหม้อน้ำเงินนั้นเสียอีก แล้วกลับมากราบทูลพระเจ้ารถสิทธ์ พระเจ้ารถสิทธ์ก็ประทานหม้อน้ำทำด้วยหนังให้ใหม่ นางค่อมก็ไปยังสระ เกิดเหตุเช่นนั้นอีก แต่คราวนี้นางทุบหม้อนั้นเท่าไรก็ไม่แตกเพราะหม้อนั้นเป็นหนัง ส่วนนางสิบสองซึ่งอยู่บนต้นไทรแลเห็นนางค่อมทำดังนั้น ก็อดกลั้นหัวเราะไม่ได้ จึงพากันหัวเราะขึ้น นางค่อมได้ยินเสียงหัวเราะจึงเงยหน้าขึ้นไปดู แลเห็นนางสิบสองคนนั่งอยู่บนต้นไทรใหญ่ มีรัศมีงดงาม ก็มีความประหลาดใจ รีบกลับมากราบทูลพระเจ้ารถสิทธ์ให้ทรา[ พระเจ้ารถสิทธ์ได้ทรงทราบก็ประหลาดพระทัย จึงเสด็จออกจากพระนครพร้อมด้วยราชบริพาร ครั้นได้ทอด พระเนตรเห็นนางสิบสองมีรูปโฉมงดงามดังนั้น มีพระทัยยินดีเป็นอันมากตรัสเรียกนางสิบสองให้ลงมาจากต้นไทร ทรงซักไซร้ไต่ถามทราบความว่า นางสิบสองคนนั้นยังมิได้มีสามีก็โปรดทรงสั่งให้นำวอมารับเข้าไปยัง พระราชวังทั้งสิบสองคน แล้วให้จัดการอภิเษกให้เป็นมเหสี มีการมหรสพสมโภชเอิกเกริกทั่วพระนคร และนางสิบสองนั้นก็ได้เป็นมเหสี เป็นที่โปรดปรานของพระเจ้ารถ สิทธ์เจ้าเมืองกุตารนครตั้งแต่นั้นมาในมิช้านางยักษ์สนธมารทราบว่า นางสิบสองซึ่งหนีไปนั้นได้เป็นมเหสีของพระเจ้ารถสิทธ์ผู้ครองเมืองกุตารนคร ก็มีความเคืองแค้นยิ่งนัก จึงสำแดงฤทธิ์รีบออกจากเมืองคชปุระไปยังเมืองกุตารนครในทันใดนั้น ครั้นถึงต้นไทร ใหญ่ริมสระ นางจึงแปลงกายเป็นหญิงมนุษย์ มีรูปโฉมสะสวยยิ่งนัก มีรัศมีเปล่งปลั่งดังพระจันทร์เต็มดวง แล้วก็ขึ้นไปนั่งบนต้นไทร ครั้นนางค่อมไปตักน้ำที่สระนั้น แลเห็นรัศมีฉายลงเช่นก่อน แลดูขึ้นไปบนต้นไทรเห็นนางแปลงรูปงดงามเช่นนั้นก็รีบกลับไปกราบทูลพระเจ้ารถสิทธ์ว่า มีนางเทพธิดามาสถิตอยู่บนต้นไทรนั้นอีกพระเจ้ารถสิทธ์ได้ทรงทราบ ก็รีบเสด็จไปพร้อมด้วยราชบริพารครั้นได้ทอดพระเนตรเห็นนางมรูปโฉมงดงามยิ่งกว่านางสิบสองนั้นอีก ก็มีพระทัยยินดี ตรัสเรียกนางให้ลงมาข้างล่างแล้วตรัสถามเรื่องราวของนาง ฝ่ายนางสนธมารก็แกล้งทูลด้วยมารยาว่า เป็นหญิงพลัดบ้านเมืองมาและยังมิได้มีสามี ได้ทรงฟังก็ยินดียิ่งนัก มีรับสั่งให้เจ้าพนักงานจัดวอทองออกมารับนางเข้าไปยังพระราชวัว พร้อมด้วยกระบวนแห่เป็นเกียรติยศแล้วให้จัดการอภิเษกให้นางเป็นอัครมเหสี และโปรดปรานยิ่งกว่านางสิบสองนั้นอีก นางสนธมารนั้นมีใจปองร้ายนางสิบสองอยู่เสมอ ครั้นอยู่มามิช้าก็แกล้งทำเป็นไข้นอนครวญครางอยู่บนแท่นบรรทมนาง กำนัลทั้งหลายเห็นอาการดังนั้นก็พากันไปกราบทูลพระเจ้ารถสิทธ์ พระเจ้ารถสิทธ์รีบเสด็จไปยังห้องของนาง แล้วตรัส ถามด้วยความร้อนพระทัยว่า "น้องเป็นอะไรไป" นางสนธมารแสร้งทูลว่า "หม่อมฉันเป็นไข้" พระเจ้ารถสิทธ์ทรงพระวิตกมาก มีรับสั่งให้หาหมอมาตรวจอาการและรักษาโรคนางให้หายโดยเร็ว พวกหมอต่างพากันลนลานจัดการประกอบโอสถถวาย หลายขนาน และยักย้ายรักษาด้วยวิธีต่างๆ เต็มความสามารถ แต่ก็ไม่อาจรักษาโรคนางให้หายได้ ครั้นนางสนธมารสังเกตอาการพระสามีเห็นว่าหลงรักนางจนงวยงงเต็มที่แล้ว จึงแสร้งกราบทูลว่า "หม่อมฉันนี้เจ็บมาก จะเอาโอสถขนานใดๆ มารักษาคงไม่หาย ถ้าโปรดควักลูกตานางสิบสองเสียได้เมื่อไรแล้ว นั่นแหละจะหายได้เป็นแน่แท้" พระเจ้ารถสิทธ์ได้ทรงฟังดังนั้นก็ยิ่งสงสาร ด้วยความงวยงงหลงรักนางยักษ์เป็นกำลัง ก็ทรงยอมตามคำของนางสนธมาร ตรัสเรียกนางสิบสองเข้ามาเฝ้า แล้งบังคับให้มานั่งเรียงกันเป็นลำดับส่วนนางสิบสองนั่งพร้อมเพียงกันเช่นนั้น ก็ลุกขึ้นไป ควักลูกตาทั้งคู่ของนางสิบสองเสียทั้งสิ้น เว้นไว้แต่นางสุดท้อง นางควักได้แต่ข้างเดียว จึงเหลืออยู่อีกข้างหนึ่งครั้นแล้ว นางเอาลูกตาไปให้นางเมรีผู้เป็นธิดาของนาง ซึ่งอยู่ที่เมืองคลปุรนคร (นางเมรีนั้นบางแห่งก็เรียกว่าเมรี) พอนางควัก ลูกตานางสอบสองได้สมหวังแล้ว นางก็หายประชวรโดยเร็ว ทำให้พระสามีทรงยินดีเป็นลันพ้นเมื่อพระเจ้ารถสิทธ์เห็นนางสิบสองตาบอดเช่นนั้นแล้วจึงรับสั่งให้อำมาตย์พาไปขังไว้ในอุโมงค์แล้วให้ปิดประตูอุโมงค์เสีย นางสิบสองถูกขังอยู่ในอุโมงค์นั้นมีครรภ์ไปทุกนาง เมื่อครบกำหนดนางผู้พี่ทั้งสิบเอ็ดก็คลอดบุตรออกมาเป็นลำดับกัน แต่ด้วยความอดอยากเหลือที่จะทนทาน ทำให้เด็กที่คลอดมาตาย นางได้ฉีกศพเนื้อบุตรของตนออกแจกกันกิน เพื่อประทังความหิวไป วันละเล็กละน้อยดังนี้ตลอดมา ต่างประทังชีวิตอยู่ดัวยศพเนื้อบุตรดุจนางยักษ์มารด้วยกันทั้งนั้น ส่วนนางน้องสุดท้อง ตาบอดข้างเดียวมีความฉลาด และเมตตา ครั้นได้ส่วนแบ่งศพเนื้อบุตรของนางผู้พี่เหล่านั้นแจกให้ ก็ไม่กิน เก็บไว้ ครั้นต่อมามิช้า นางผู้พี่ขอเนื้อบุตรของนางกิน นางก็เอาเนื้อบุตรของพี่ แจกให้พี่กินวันละเล็กละน้อย และนางอุตส่าห์ ถนอมเลี้ยงบุตรของนางจนเติบใหญ่ ให้ชื่อว่า "รถเสน" หรือ "พระรถ"ครั้นพระรถเสนเจริญวัยขึ้นถามมารดาว่า "แม่จ๋า ห้องที่เราอยู่นี้เรียกว่าอะไร" มารดาตอบว่า "เขาเรียกว่าอุโมงค์ บิดาของเจ้าสั่งให้ขุดไว้ แล้วให้แม่กับพี่ของแม่ผู้เป็นป้าของเจ้ามาอยู่ในอุโมงค์นี้" พระรถเสนได้ฟังคำมารดาเล่าดังนั้น รู้สึกสงสารและเสียใจคิดว่าเป็นหน้าที่ของตนจะต้องหาเลี่ยงมารดาและป้า จึงเกิดมีความมานะพยายามหาหนทางเล็ดลอดออกจากประตูอุโมงค์จนได้ราวกับว่า มีแสงสว่างสองให้เห็นทาง ต่อมาพระรถเสนเตร็ดเตร่ไปเที่ยวเล่นในที่ต่างๆ เห็นศาลแห่งหนึ่งมีคนนั่งอยู่เป็นกลุ่ม จึงเข้าไปใกล้ เห็นเด็กเลี้ยงโคอยู่ที่นั่นหลายคน ส่วนพวกเด็กเลี้ยงโคเหล่านั้น เห็นพระรถเสนแปลกหน้ามา ก็ชักชวนให้ไปเที่ยวเล่นด้วยกัน แล้วพาไปเที่ยวสังเวียนชนไก่ดูไก่ชนกันอย่างสนุกสนาน ในไม่ช้าก็เกิดท้าต่อรองกันขึ้นว่าไก่ตัวไหนจะแพ้ชนะ พระรถเสนจึงกล่าวท้าว่า "ถ้าเราแพ้พวกเจ้าเราจะให้ทองและแก้วเครื่องประดับ ถ้าพวกเจ้าแพ้เราเราจะขอข้าวห่อสิบสองห่อเท่านั้น" พวกเด็กเลี้ยงโคเหล่านั้นก็ตกลงรับต่อรองด้วย แต่ในที่สุดก็แพ้ พระรถเสนต้องเสียข้าวห่อสิบสองห่อให้แก่พระรถเสนตามสัญญา เมื่อพระรถเสนได้ข้าวห่อแล้วก็นำไปมอบให้แก่มารดาที่อยู่ในอุโมงค์ แล้วกล่าวว่า "แม่จ๋าแม่จงเอาข้าวห่อเหล่านี้ไปรับประทาน และแจกให้แก่ป้าสิบเอ็ดคนนั้นด้วยเถิด" มารดาพระรถเสน ก็รับข้าวห่อไป เมื่อป้าเหล่านั้นได้รับข้าวห่อแล้วก็กินกันอิ่มหนำสำราญแล้วก็กล่าวขอบใจให้ศีลให้พรด้วยความปีติยินดี ตั้งแต่นั้นมาพระรถเสนก็เที่ยวเล่นต่อรองกับคนทั้งหลายนำข้าวห่อ มาเลี้ยงมารดาและป้าทั้งสิบเอ็ดคนเป็นนิตย์ทุกๆ วันครั้นต่อมาวันหนึ่ง พระรถเสนรำพึงว่า "ตั้งแต่เราเกิดมาไม่เคยเห็นบิดาของเราเลย จะต้องถามดูให้รู้แน่" คิดเช่นนี้แล้วจึง ไปถามมารดาว่า "แม่จ๋า! บิดาของลูกชื่ออะไร และอยู่ที่ไหน" มาดาตอบว่า "บิดาของลูกชื่อว่า พระรถสิทธราช ครองเมืองกุตารนครนี้" ฝ่ายพระรถเสนได้ฟังดังนั้นก็ดีใจ แต่หาได้ทะนงตนเป็นลูกท้าวพญาไม่ อุตสาห์เลี้ยงมารดาและป้าด้วยเที่ยวเล่นต่อรองกับคนทั้งหลาย จนมีชื่อเสียงลือชาปรากฏทั่วไป ความทราบถึงพระกรรณของพระจ้ารถสิทธ์ผู้เป็นพระราชบิดา พระองค์จึงรับสั่งให้อำมาตย์ไปนำ พระรถเสนกุมารเข้ามาเฝ้า พวกอำมาตย์ก็รีบพากันไปพาพระรถเสนกุมาร แล้วนำมาเฝ้า พระรถเสนกุมารคลานเข้าไปหน้าพระที่นั่ง ถวายบังคมพระราชบิดาแล้วก็หมอบนิ่งอยู่ พระเจ้ารถสิทธิ์ทอดพระเนตรเห็นพระรถเสนกุมารเข้ามาเฝ้าก็ดีพระทัย จึงตรัสว่า "เขาลือกันว่าเจ้ามีฝีมือในการเล่นต่างๆ เราอยากทดลองดู เจ้าจงมาเล่นสกากับเรา" พระรถเสนกุมารกราบทูลว่า "ถ้าข้าพระบาทแพ้พระองค์แล้ว จะยอมถวายตัวเป็นข้ารับใช้ ถ้าพระองค์แพ้ข้าพระบาทแล้ว ข้าพระบาทขอพระราชทานข้าวห่อสิบสองห่อเท่านั้น" พระเจ้ารถสิทธ์ทรงยอมรับทำสัญญาแล้วก็ทรงเล่นสกากับพระรถเสนกุมาร ทรงเล่นครั้นแรกแพ้ทรงแก้ ครั้งที่สองก็แพ้อีก พระองค์จึงพระราชทานข้าห่อแก่พระรถเสนกุมารสิบสองห่อตามสัญญา ฝ่ายรถเสนกุมารรับข้าวห่อมาแล้ว ก็ถวายบังคมลา พระเจ้ารถสิทธ์ กลับไปหามารดายังอุโมงค์ เอาข้าวห่อให้มารดาแล้วกล่าวว่า "ลูกไปเล่นสกากับพระเจ้าแผ่นดินชนะ ได้พระราชทานข้าวห่อนี้มาคงจะมีรสอร่อยมาก แม่จงเอาไปรับประทานและแจกให้ป้าทั้งสิบเอ็ดคนเถิด" ฝ่ายมารดาก็รับเอาข้าห่อนั้นไปด้วยความยินดี ให้ศีลให้พรลูกด้วยประการต่างๆครั้นรุ่งขึ้นพระเจ้ารถสิทธ์ทรงระลึกถึงพระรถเสนกุมาร จึงรับสั่งให้อำมาตย์ไปพาตัวมาเฝ้าแล้วรับสั่งถามว่า "เจ้าชื่อไรเป็นลูกเต้าเหล่าใคร" พระรถเสนกุมารกราบทูลว่า "ข้าพระบาทชื่อว่า "รถเสน" มารดาข้าพระบาทกับป้าอีกสิบเอ็ดคนเป็นมเหสีของพระเจ้ารถสิทธ์" เมื่อพระเจ้ารถสิทธ์ได้ทรงฟังดังนั้นก็สะดุ้งพระองค์ทรงยินดีตรัสเรียกให้เข้ามานั่งใกล้พระองค์ ทรงสวมกอดและจุมพิตพระโอรส แล้วตรัสว่า "พ่อนี้คือบิดาของเจ้า" ในขณะนั้นนางยักษ์สนธมารนั่งเฝ้าอยู่ ครั้นได้เห็นดังนั้นก็ได้มีความ หวาดกลัวว่า ต่อไปไม่ช้าพระสามีคงจะรู้ความชั่วร้ายของตน ด้วยกุมารนี้เป็นแน่แท้ นางมีความร้อนใจยิ่งนัก จึงแสร้งทำอุบายเป็นไข้ แล้วก็กลับมาที่อยู่ของตน สั่งให้สาวใช้ไปทูลพระราชสามีให้ทรงทราบ พระเจ้ารถสิทธิ์ได้ทรงทราบ จึงตรัสให้อำมาตย์ไปตามหมอรักษานาง แต่หมอไม่อาจประกอบโอสถถวายให้โรคของนางทุเลาลงได้ อำมาตย์ทั้งหลายจึงไปกราบทูลพระเจ้ารถสิทธ์ให้ทรงทราบ พระเจ้ารถสิทธ์ทรงพระวิตกมากจึงรับสั่งให้เปลี่ยนหมอใหม่แต่โรคของนางก็ไม่หาย ต่อมานางแสร้งทำเป็นไม่บริโภค อาหารเมื่อพระเจ้ารถสิทธ์ทรงเห็นเช่นนั้น ก็ไม่เสวยอาหารบ้างเหมือนกันในที่สุดนางยักษ์สนธมารก็กราบทูลว่า " ยาที่จะรักษาโรคหม่อมฉันให้หายนั้นมีอยู่ที่เมืองคชปุรนคร ถ้าหม่อมฉันได้ยานั้นมากินแล้วโรคคงหายเป็นแน่แท้" เมื่อพระเจ้ารถสิทธ์ได้ทรงฟังดังนั้นก็ดีพระทัยตรัสให้อำมาตย์เอากลองเที่ยวตีประกาศให้ชาวพระนครมาประชุมกัน หน้าพระลาน ครั้นแล้วพระองค์ก็เสด็จไปยังที่ประชุมนั้น มีรับสั่งว่า "ท่านทั้งหลาย ใครจะรับอาสาไปเอายาที่เมืองคชปุรนคร ได้บ้าง ถ้าใครรับได้ เราจะให้รางวัลให้เป็นที่พอใจและเมื่อได้ยามาแล้วเราจะตั้งให้เป็นเสนาบดีผู้ใหญ่" ที่ประชุมก็นิ่งอยู่หามีใครจะรับอาสาไม่ ฝ่ายท่านเสนาบดีจึงกราบทูลว่า "เมืองคชปุรนครนั้นไกลนักขึ้นชื่อว่ามนุษย์ด้วยกันแล้วไม่มีใครสามารถไปถึงเลย" พระเจ้ารถสิทธ์ได้ฟังดังนั้นก็เสียพระทัย เสด็จกลับเข้าไปยังห้อง นางสนธมาร ตรัสเล่าเรื่องให้ฟังทุกประการ นางสนธมารจึง กราบทูลว่า "หม่อมฉันทราบอยู่ว่าไม่มีมนุษย์ผู้ใดที่จะไปได้ นอกจากพระรถเสนกุมารผู้มีบุญบารมีมากผู้เดียวเท่านั้น ขอพระองค์จงรับสั่งให้พระรถเสนกุมารไปเถิดคงจะสำเร็จเป็นแน่แท้" พระเจ้ารถสิทธ์ก็ทรงเห็นชอบด้วยจึงรับสั่งให้พระรถเสนกุมาเข้ามาเฝ้า แล้วทรงชี้แจงเรื่องราวให้ทราบในที่สุดจึงตรัสว่า "ลูกรักของพ่อ! เจ้าจงรับเอาสาไปเอายาที่เมืองคชปุรนครให้พ่อสักครั้งหนึ่งเถิด นอกจากเจ้าพ่อไม่เห็นใครที่จะรับอาสาได้แล้ว" พระรถเสนกุมารจึงกราบทูลว่า "หม่อมฉันได้ยินดีจะรับอาสา แต่เป็นห่วงมารดา และป้าผู้ต้องขังอยู่ในอุโมงค์ ถ้าไปเมืองไกลแล้ว ใครจะปฏิบัติมารดาและป้าเล่า" พระเจ้ารถสิทธ์จึงตรัสว่า "ข้อนั้นไม่เป็นไร เป็นภาระของพ่อเอง พ่อจะจัดให้คนดูแลแทนตัวเจ้า อย่าเป็นทุกข์เลย" เมื่อพระเจ้ารถสิทธ์ ตรัสรับรองเช่นนั้นแล้ว พระรถเสนกุมารก็มีความยินดีรับอาสา พระเจ้ารถสิทธ์จึงตรัสว่า "ม้าของพ่อมีอยู่พันหนึ่ง เจ้าจงไปเลือกดู ตามชอบใจเถิด" พระรถเสนกุมารถวายบังคมลาแล้วมายังโรงเลี้ยงม้า เลือกดูจนทั่ว ก็จะได้มาตัวหนึ่งสมประสงค์นำมาฝึกหัดเอาเองตามต้องการ และตั้งชื่อม้านั้นว่า "พาชี" ฝึกหัดเป็นที่พอใจแล้วก็ผูก เจ้าพาชีนั้นขับขี่เผ่นขึ้นไปรวดเร็วดุจเหาะมาในอากาศทดลอง กำลังเป็นระยะไกลมาก แล้วจึงพากลับมายังพระนครเข้าเฝ้า พระราชบิดา กราบทูลให้ทรงทราบทุกประการ ครั้นแล้วก็ไปปราสาทนางสนธมาร เพื่อฟังคำสั่งว่านางจะให้ไปเอายาขนานไหน เมื่อนางสนธมารได้เห็นพระรถเสนกุมาร จึงแสร้งพูดจาปราศรัยว่า "ลูกรักของแม่! แม่เห็นแต่เจ้าคนเดียวเท่านั้นที่จะ เป็นที่พึ่งได้ ขอเจ้าจงอนุเคราะห์รับธุระของแม่ให้สำเร็จเถิด" แล้วก็บอกชื่อยาให้ (ตามเรื่องที่เล่ากัน ยานั้นเรียกว่า มะม่วงไม่รู้หาวมะนาวไม่รู้โห่) บอกแล้วสั่งว่า "เมื่อเจ้าไปลาบิดามารดาเสร็จแล้วจะออกเดินทางไปจงมาหาแม่ก่อน แม่จะเขียนหนังสือให้ถือไปให้ยักษ์เมืองคชปุรนคร เมื่อมันเห็นหนังสือนั้น มันจะกรุณาช่วยหายาให้เจ้าตามประสงค์" พระรถเสนกุมารรับคำนางสนธมารลากลับไปหามารดา เล่าความให้ทราบทุกประการแล้วก็กล่าวคำอำลามารดา และป้าทั้งหลายก็พากันร้องให้เป็นห่วงใย บ่นรำพันไปต่างๆ นานา จนพระรถเสนกุมารออกจากอุโมงค์ไป แล้วพระรถ เสนกุมารก็ขึ้นเฝ้าพระราชบิดา ทูลลาเสร็จแล้วกลับมาผูกม้า และไปหานางสนธมารตามที่นางสั่งไว้ นางสนธมารก็เขียนหนังสือยื่นให้ พระรถเสนกุมารรับหนังสือเอาผูกคอม้า แล้วก็ขึ้นขี่ไปโดยเร็ว ไปสิ้นระยะทางไกลมากจึงจะหยุดพักสักครั้งหนึ่ง ไปจนถึงอาศรมพระฤาษี สิ้นระยะทางหลายโยชน์ ลงจากหลังม้า แล้วปล่อยม้า ให้กินหญ้าตามบริเวณอาศรมนั้น ส่วนตนเข้าไปพักในที่ใกล้อาศรม ด้วยความเหน็ดเหนื่อยจึงเอนกายลงนอนในที่นั้น มิช้าก็เลยหลับไปฝ่ายพระฤาษีที่อยู่ในอาศรม ได้ยินเสียงฝีเท้าม้าเดินไปมานึกสงสัยจึงออกมาจากอาศรมเดินที่ยวตรวจดู ครั้นแลไปเห็นม้าก็จึงประหลาดใจ เดินเข้าไปลูบหลังม้า มิช้าก็แลไปเห็นหนังสือที่ผูกคอม้านั้นอยู่ จึงหยิบมาคลี่ออกอ่านดู ในหนังสือนั้นมีว่า "เจ้าเมรีลูกรักของแม่ แม่ได้ส่งลาภมาให้เจ้าคือรถเสนกุมารผู้ถือหนังสือนี้ ถ้ามาถึงกลางวันก็จงกินกลางวัน ถ้าถึงกลางคืนก็จงกินกลางคืนเถิด" เมื่อพระฤาษีอ่านแล้วพิจารณาดูทราบว่าพระเจ้ารถสิทธ์ผู้ครองเมืองกุตารนครหลงรักนางสนธมาร แล้วให้ลูกของตัวไปเมืองยักษ์ โดยไม่รู้ว่ายักษ์จะกินลูกเสีย คิดจะช่วยพระรถเสนกุมารให้รอดพ้นอันตราย จึงแปลงหนังสือเสียใหม่ว่า"เจ้าเมรีลูกรักของแม่ แม่ได้ส่งลาภมาให้เจ้า คือรถเสนกุมารผู้ถือสารหนังสือนี้ ถ้ามาถึงกลางวันเจ้าจงรับกลางวัน ถ้าถึงกลางคืนให้รับกลางคืน เจ้าจงถนอมเจ้ารถเสนกุมารนี้อย่างผัวที่รักของเจ้าเถิด"
เมื่อพระฤาษี แปลงหนังสือนั้นเสร็จแล้ว จึงเอาผูกคอม้าไว้ดังเดิม แล้วก็เดินเข้าไปปลุกพระรถเสนกุมารให้ตื่นขึ้น พระรถเสนกุมารลืมตาดูเห็นพระฤาษีจึงลุกขั้นนั่งยกมือไหว้ พระฤาษีถามว่า "เจ้าชื่อไร มาแต่เมืองไหน และจะไปข้างไหน" พระรถเสนกุมารตอบว่า"ข้าพเจ้าชื่อว่า "รถเสน" มาแต่เมืองกุตารนครจะไปเมืองคชปุรนคร" พระฤาษีจึงถามต่อไปว่า "บิดามารดาของเจ้าชื่ออะไร" พระรถเสนกุมารตอบว่า "บิดาของข้าพเจ้าชื่อว่า "พระเจ้ารถสิทธ์" เจ้าเมืองกุตารนคร มารดาและป้าของข้าพเจ้ารวมสิบสองคนเป็นมเหสีของท่าน" พระฤาษีได้ฟังดังนั้น ก็ประสาทพรว่า "เจ้าจงไปดีมาดีเถิด" พระรถเสนกุมารรับพรโดยความเคารพ แล้วลาพระฤาษี มาผูกม้าขึ้นขี่ต่อไป สิ้นระยะทางอีกหลายโยชน์ก็ถึงแดนเมืองยักษ์ แลไปดูพวกยักษ์เห็นอยู่เกลื่อนกลาดมีความกลัวจึงตรัส แก่ม้าว่า "พี่พาชีเราจะทำอย่างไรดี เรามาถึงแดนเมืองยักษ์แล้ว" ม้าทูลตอบว่า "พระองค์อย่างทรงวิตกเลย ไว้ธุระข้าพระองค์เถิด" แล้วก็พารถเสนกุมารเข้าไปใกล้เมืองยักษ์นั้นฝ่ายพวกพลยักษ์ทั้งหลายซึ่งเที่ยวตรวจตราอยู่ และเห็นพระรถเสนกุมารขี่ม้ามาต่างก็ดีใจ พากันวิ่งตรงเข้าไปหวังจะจับกินเสียครั้นพาชีเห็นดังนั้นก็แผดเสียงสนั่น พวกพลยักษ์ก็พากันตกตะลึงอยู่ทันใดนั้นพระรถเสนกุมารจึงแก้หนังสือที่ผูกคอม้านั้นขว้างไปพวกเสนายักษ์รีบเก็บเอาหนังสือนั้นคี่ออกอ่อนดูรู้ความแล้วก็เชิญพระรถเสนกุมารให้เข้าเมือง พามาพัก ณ ที่อันสมควรแล้วไปแจ้งแก่นางเมรีให้ทราบ นางเมรีได้ทราบดังนั้น มีความยินดียิ่งนัก รีบออกมาต้อนรับโดยเร็ว ครั้นนางได้
และเห็นพระรถเสนกุมาร ให้เกิดความรักใคร่เป็นกำลัง จึงเชิญให้เสด็จไปพักบนปราสาทแล้วให้จัดอาหารและผลไม้ที่มีรสโอชาให้เสวย ส่วนนางยักษ์ที่เป็นบริวารของนางเมรีก็มานั่งห้อมล้อมพระรถเสนกุมารอยู่ดาดาษดุจดาวล้อมเดือนฉะนั้น ครั้นแล้วนางเมรีสั่งให้ยักษ์ผู้เป็นเสนาบดีตกแต่งพระนครให้งดงาม แล้วนางก็ให้จัดการอภิเษกพระรถเสนกุมารให้เป็นพระเจ้าแผ่นดิน และอภิเษกนางเป็นมเหสี ครอบครองราชสมบัติในคชปุระนครโดยความผาสุกสำราญต่อมาเวลาล่วงไปได้เจ็ดเดือน พาชีเห็นช้านานนักก็กราบทูลเตือนพระรถเสนว่า "บัดนี้พระองค์ละมารดามานานนักหนาแล้วจะไม่เสด็จกลับไปหามารดาละหรือ" พระรถเสนได้ทรงฟังจึงตรัสว่า "จริงตามที่พี่พาชีพูด แต่เรายังไม่สามารถจะกลับได้" พาชีได้ฟังดังนั้น ก็โกรธอยู่ในใจ ไม่รู้ที่จะทำอย่างไรได้ อยู่มาวันหนึ่งทรงเห็นม้านั้น แสดงกิริยาโกรธเคืองอีก จึงตรัสปราศรัยว่า "พี่พาชีอย่าโกรธฉันเลย" พาชีจึงทูลว่า "ข้าพระองค์ไม่ตั้งใจจะโกรธขึ้งพระองค์ดอก แต่อยากจะกลับบ้านเมือง ถ้าพระองค์จะอยู่ในพระนครนี้ก็จงเสด็จอยู่เถิด ข้าพระองค์จะขอลากลับไปยังกุตารนครแต่ผู้เดียว"เมื่อพระรถเสนได้ทรงฟังดังนั้นก็รู้สึกพระองค์ เศร้าพระทัยมากคิดจะกลับพระนคร จึงขึ้นไปบนปราสาท แล้วประทับบนแท่นบรรทม ทรงพระกันแสงถึงพระมารดาครั้นรุ่งเช้าพระองค์แสร้งทำเป็นประชวร ไม่เสด็จออกขุนนางเช่นเคย เสนาบดีและอำมาตย์ทั้งหลายซึ่งคอยเฝ้าอยู่ที่ท้องพระโรง ก็พากันกลับไป ฝ่ายนางเมรีพร้อมด้วยนางสนมทั้งหลายต่างมีใจทุกข์ร้อนเฝ้าพยาบาลพระรถเสนอยู่ในปราสาท ให้แพทย์ประกอบพระโอสถถวายต่างๆ นานา พระองค์ก็ยังบรรทมซึมเซาอยู่บนพระแท่นเช่นเดิมหาได้มีพระอาการเป็นสุขสบายขึ้นไม่ ในที่สุดนางเมรีจึงกราบทูลแนะนำว่า "ถ้าพระองค์ประทับอยู่แต่บนปราสาท น่ากลัวอาการประชวรจะทุเลาช้า หม่อมฉันเห็นว่า พระองค์ควรจะเสด็จประพาสสวนอุทยานเสียบาง คงจะทรงพระสำราญขึ้น"พระรถเสนได้ทรงฟังดังนั้นก็ทรงยินดี รับสั่งให้พวกอำมาตย์จัดวอพระที่นั่ง
สำหรับเสด็จประพาสสวนอุทยาน แล้วเสด็จไปพร้อมด้วยนางเมรีและนางสนมทั้งหลาย ครั้นถึงสวนอุทยานแล้วทรงดำเนินชมนก ชมไม้เป็นที่เบิกบานพระหฤทัยยิ่งนัก เมื่อได้เวลาอันสมควร ก็ตรัสชวนนางเมรีและนางสนมทั้งหลายกลับพระนคร ขึ้นประทับบนปราสาทครั้นถึงเวลาค่ำพระองค์มีรับสั่งให้นางเมรีนำดนตรีมาประโคม และฟ้อนรำขับร้องถวายแล้ว พระองค์เสวยพระกระยาหารพร้อมด้วยนางเมรี โปรดให้นางเมรีดื่มสุรา ส่วนพระองค์ทรงแสร้งทำเป็นว่าเสวยสุรากับนาง แต่ที่จริงหาได้เสวยไม่ เมื่อนางเมรีดื่มสุราแล้วก็มีอาการมึนเมาหาสติมิได้พระองค์ก็ทรงจูงนางเมรีเที่ยวทอดพระเนตรดูสิ่งของต่างๆ ในปราสาทนั้น ทรงพบห่อของห่อหนึ่งรีบสั่งถามว่า "นี่ห่ออะไร แม่เมรี" นางเมรีทูลโดยไม่มีสติว่า "ห่อลูกตาของนางสิบสอง" แล้วชี้ห่อยาหลายห่อให้ทอดพระเนตรอธิบายสรรพคุณของยาห่อนั้นๆ ว่า "ยาห่อนี้เป็นยาทิพย์สำหรับรักษาตา คือเอาลูกตาในห่อนั้นใส่ลงที่ตา แล้วเอายานี้หยอดตาจะดีดังเก่า ยานี้ถ้าโปรยลงไปจะเกิดเป็นภูเขาขึ้น ยาห่อนี้จะเกิดเป็นป่า ห่อนี้จะเกิดเป็นลม ห่อนี้จะเกิดเป็นไฟ ห่อนี้จะเกิดเป็นฝน ห่อนี้จะเกิดเป็นเมฆ และห่อนี้จะบันดาลให้เกิดเป็นแม่น้ำใหญ่" พระรถเสนได้ทรงฟังดังนั้นก็ทรงยินดียิ่งนัก พลางดำริว่า "ถ้าเราได้ยาเหล่านี้ไป เราคงจะได้กลับไปเห็นหน้าแม่เราเป็นแน่นอน " พอนางเมรีหลับแล้วพระองค์ก็หยิบเอาห่อลูกตาและห่อยาเหล่านั้นซ่อนมาขึ้นม้ารีบหนีไปในเวลากลางคืนพอเวลารุ่งเช้านางเมรีตื่นขึ้น ไม่เห็นพระรถเสนก็ตกใจเที่ยวค้นหาจนทั่วปราสาทไม่พบ ก็รู้แน่ว่าพระองค์หนีไป นางก็ทรงกันแสง ทรงสั่งให้เกณฑ์รี้พลรีบยกออกติดตามพระสามี ในมิช้านางก็ไปทัน พระรถเสนเห็นนางตามมาใกล้ จึงหยิบเอายาห่อหนึ่งโปรยลง ก็บังเกิดเป็นภูเขาขวางหน้ากองทัพไว้ นางเห็นดังนั้นก็หยุดะงัก แล้วยกพลพยายามตามต่ออีก พระรถเสนก็หยิบเอายาห่ออื่นๆ โปรยลงไปทีละห่อ บังเกิดเป็นเครื่องกีดกั้นต่างๆ ตามที่นางบอกไว้ จนถึงห่อยาที่สุดก็เกิดเป็นแม่น้ำใหญ่ นางอุตสาห์พยายามติดตามไปจนถึงแม่น้ำใหญ่นั้น นางหยุดแลดูพระรถเสนประทับอยู่ฝั่งโน้น กันแสงพลางกราบทูลว่า "พระสามีที่รักเจ้าข้า! เสียแรงที่หม่อมฉันสวามิภักดิ์รักใคร่พระองค์เป็นหนักหนาพระองค์ช่างไม่ทรงกรุณาหม่อมฉันบ้างเลย ถ้าหม่อมฉันไม่ได้ไปกับพระองค์แล้ว หม่อมฉันจะขอตายอยู่ที่นี่" แล้วนางก็ทรงกันแสงรำพันทูลพระสามีด้วยประการต่างๆ แต่ก็หาได้รับตอบจากพระสามีไม่ ในที่สุดนางจึงยกหัตถ์ขึ้นตั้งสัจอธิษฐานว่า "ข้าพเจ้าเกิดชาติใดๆ ขอให้ได้อยู่ร่วมกับพระรถเสนทุกชาติไป" พระรถเสนหยุดฟังนางรำพันอยู่ฝั่งโน้น ก็บังเกิดความสงสารนาง ทรงกันแสงอาลัยถึงนาง แต่อุตส่าห์อดกลั้น อยู่ด้วยความกตัญญูในพระมารดา เมื่อเห็นนางเงียบเสียงแล้วจึงตรัสตอบไปว่า "น้องที่รักของพี่! น้องมีคุณแก่พี่มากมายเหลือจะขอบคุณน้องได้ แต่เป็นการจำเป็นที่พี่จะต้องไปสนองคุณพระบิดามารดาผู้บังเกิดเกล้าของพี่เสียก่อน น้องอย่าคิดเป็นอย่างอื่นไปเลยทำไมพี่จะไม่รักน้องจำต้องขอลาน้องไปก่อน หวังว่าภายหน้าเราคงจะได้อยู่เป็นคู่ครองกันต่อไป" ตรัสเท่านั้นแล้วก็ขับพาชีรีบเสด็จไปจนถึงเมืองกุตารนคร เมื่อนางเมรีเห็นพระรถเสนลับพระเนตรไปแล้ก็ทรงกันแสงเสียพระทัยจนสิ้นชีพอยู่ที่ผั่งไม่น้ำนั้นเองส่วนนางยักษ์สนธมารได้แลเห็นพระรถเสนกลับมา มีความเสียใจเป็นกำลัง จนใจนางแตกเป็นเจ็ดภาค สิ้นชีวิตอยู่บนปราสาทของนางนั้นเอง ฝ่ายพระรถเสนครั้นมาถึงเมือง ก็รีบเข้าไปหาพระมารดาและป้าในอุโมงค์เอาลูกตาและยาใส่ตามารดาและป้าทั้งสิบเอ็ดคนนั้นเสร็จแล้ว ตาของมารดาและป้าทั้งหลายก็กลับคืนดีเป็นปกติดังเดิม แล้วพระองค์ก็พามารดาและป้าทั้งหลายนั้นขึ้นเฝ้าพระราชบิดา เมื่อพระองค์พามารดาและป้าทั้งหลายนั้นขึ้นเฝ้าพระราชบิดา เมื่อพระรถสิทธ์เห็นพระรถเสนกลับมาและพามารดาและป้าทั้งหลายมาด้วยดังนั้น ก็ประหลาดพระทัยยิ่งนัก ครั้นได้ทรงฟังพระรถเสนทูลเรื่องยักษ์สนธมารซึ่งจำแลงมาเป็นหญิงมนุษย์ และทำอุบายควักลูกตามเหสีของพระองค์เสีย ตลอดจนพระรถเสนไปได้ลูกตามาจากเมืองยักษ์ และเอามาใส่ให้มเหสีดีดังเก่า จนถึงพากันมาเฝ้าพระองค์ โดยถี่ถ้วนทุกประการแล้ว พระองค์ก็ทรงสงสารพระมเหสีเป็นกำลัง ทรงพระกันแสงพลางตรัสขอโทษพระมเหสีสิบสององค์และกริ้วนางสนธมารยิ่งนักจนภายหลังเมื่อได้ทรงทราบว่านางสนธมารตายเสียแล้วจึงสงบพระพิโรธ กลับทรงโสมนัสยินดี ตั้งให้นางสิบสองนั้นเป็นมเหสีของพระองค์ดังเดิมภายหลังพระจ้ารถสิทธ์จึงมีรับสั่งให้จัดการอภิเษกพระรถเสนขึ้นเป็นกษัตริย์ครอบครอบราชสมบัติแทนพระองค์สืบไป และมีการมหรสพเป็นงานฉลองอย่างเอิกเกริกใหญ่ฝ่ายพระรถเสนเมื่อได้ทรงราชย์แล้วก็ดำรงอยู่ในทศพิษราชธรรมทรงอุปถุมภ์แก่ประชาชน ให้ได้รับความสุขทั่วหน้ากันต่อมา
แก้วหน้าม้า

ท้าวภูวดลกับพระนางนันทา ผู้ครองเมืองมิถิลา ได้ให้กำเนิดพระโอรสนามว่า “พระปิ่นทอง” ซึ่งเป็นเด็กที่ดื้อมากจนใครๆก็ต่างเอือมระอา ด้วยความกังวลต่อบุตรชาย ท้าวภูวดลกับมเหสีจึงสั่งให้นายทหารตามเสด็จพระปิ่นทองเวลาที่บุตรของตนออกไปเล่นนอกวัง
วันหนึ่งพระปิ่นทองขอออกไปเล่นนอกวังพร้อมด้วยทหารตามเสด็จ ระหว่างที่กำลังเล่นว่าวอยู่นั้น ได้พบเจอกับ “แก้ว” ที่ออกไปช่วยแม่เลี้ยงม้า เทวดาเห็นว่าพระปิ่นทองกับแก้วนั้นเป็นเนื้อคู่กัน จึงบันดาลให้ว่าวหลุดลอยไปเพื่อให้ทั้งสองได้พบกัน พระปิ่นทองรีบวิ่งตามไปเก็บว่าวที่ลอยไปตกลงบริเวณที่แก้วเลี้ยงม้า และต่อว่าที่แก้วบังอาจมาเก็บว่าวของตน ด้วยความโกรธแก้วจึงไม่ยอมคืนว่าวให้ พระปิ่นทองจึงสั่งให้นายสุขกับนายตุ่ย นายทหารคู่ใจวิ่งตามไปเอาว่าวคืนมาจากแก้ว
แต่ด้วยความที่พวกม้าช่วยแก้วเอาไว้ ทำให้นายทหารไม่สามารถเอาว่าวคืนมาได้ พระปิ่นทองเห็นท่าไม่ดีจึงนึกอุบายขอเจรจากับแก้ว ว่าหากนางคืนว่าวให้ตน ตนจะให้แก้วแหวนเงินทองตามที่นางต้องการ แต่แก้วก็ยังไม่สนใจ พระปิ่นทองจึงโกหกโดยการยื่นขอเสนอให้แก้วเป็นมเหสี แก้วดีใจมากรีบรับคำและคืนว่าวแก่พระปิ่นทองทันที
ฝ่ายนายทหารรีบนำเรื่องพระปิ่นทองมาทูลกับท้าวภูวดล ท้าวภูวดลให้นายทหารเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับเพราะเกรงว่าหากพระนางนันทาจะรู้เข้า และต้องทำตามสัญญา
ส่วนแก้วก็รีบกลับมาบ้านเพื่อบอกข่าวกับพ่อแม่ว่าพระปิ่นทองจะรับตนไปเป็นมเหสี แต่ไม่มีใครเชื่อนาง แก้วรอคอยให้พระปิ่นทองมารับตนเป็นมเหสีจนผ่ายผอม พระปิ่นทองก็ยังไม่ยอมมาตามสัญญา นางนิ่มกับนายมั่นผู้เป็นพ่อและแม่จึงไปถามความจากชาวบ้านจนรู้ว่าเรื่องนี้เป็นความจริง จึงตัดสินใจพาแก้วเข้าวังเพื่อทวงสัญญา
เมื่อท้าวภูวดลทราบเรื่องจึงกริ้วมาก และสั่งประหารทั้งสามแม่ลูก พระนางนันทาบังเอิญทราบเรื่องจึงบอกให้ท้าวภูวดลและพระปิ่นทองรักษาสัญญา ด้วยเหตุนี้เองพระปิ่นทองจึงต้องยอมรับแก้วมาเป็นมเหสี โดยมีวอมารับที่บ้าน และจัดงานพิธีอภิเษกอย่างยิ่งใหญ่
พระปิ่นทองอับอายมาก จึงทำท่ารังเกียจไม่ยอมออกมาพบกับแก้ว แก้วจึงเกิดความไม่พอใจเป็นอย่างมากจนต้องบุกเข้าไปหาพระปิ่นทองเอง พระปิ่นทองจึงสั่งให้มีเวรยามเฝ้าไม่ให้แก้วเข้ามาหาตน ท้าวภูวดลรู้เรื่องเข้าก็รู้สึกอับอาย จึงคิดอุบายหาทางกลั่นแกล้งแก้วให้ทนไม่ได้จนต้องเป็นฝ่ายไปแทน
ท้าวภูวดลหาทางแกล้งแก้วด้วยการสั่งให้ไปยกเขาพระสุเมรุมาให้ได้ภายในเจ็ดวัน หากยกไม่ได้จะถูกประหาร เมื่อได้รับคำสั่ง แก้วจึงออกเดินทางไปตามหาเขาพระสุเมรุ และอธิษฐานว่าหากตนเป็นคู่แท้ของพระปิ่นทองจริง ขอให้พบกับเขาพระสุเมรุด้วยเถิด
ระหว่างการเดินทาง แก้วต้องพบเจอกับสัตว์ร้ายที่หวังจะมาทำร้าย แต่ก็โชคดีที่พระฤาษีเข้ามาช่วยไว้ทัน เมื่อพระฤาษีได้ทราบเรื่องราวทั้งหมด จึงช่วยถอดหน้าม้าให้แก้วกลับกลายเป็นสาวสวย พร้อมเสกเรือเหาะและมีดอีโต้วิเศษให้เป็นอาวุธ นางแก้วกราบลาพระฤาษีพร้อมสวมหน้าม้าไว้ดังเดิม ก่อนจะนั่งเรือเหาะไปเจอกับเขาพระสุเมรุ
เมื่อพบเขาพระสุเมรุ ยักษ์ที่ทำหน้าที่เฝ้าเขาพระสุเมรุบอกให้แก้วถอดปริศนาให้ได้ก่อนจะยกเขาให้ แต่แก้วไขปริศนาไม่ออก จึงฉวยโอกาสตอนยักษ์เผลอ และรีบตัดเขาเหาะหนีไป เมื่อแก้วแบกเขาเหาะกลับมาถึงเมืองมิถิลา ท้าวภูวดลก็ผิดหวังที่แก้วสามารถทำตามข้อตกลงได้ จึงหาทางเลี่ยงสัญญาโดยการให้พระปิ่นทองหนีออกประภาสต่างเมือง และหาทางกลั่นแกล้งแก้วต่อไป
ก่อนออกเดินทางพระปิ่นทองสั่งนางแก้วว่า ถ้าตนกลับมาแล้วนางยังไม่มีลูก แก้วจะต้องถูกประหาร แก้วจึงคิดหาวิธีมีลูกกับพระปิ่นทอง โดยนั่งเรือเหาะไปดักรอพระปิ่นทองระหว่างทาง พร้อมถอดหน้าม้าออก พระปิ่นทองได้เจอกับโฉมหน้าอันงดงามของแก้วที่ถอดรูปแล้ว ก็ถึงกับตกหลุมรัก และขอนางเป็นชายา นางแก้วถอดรูปจึงถามถึงมเหสีของพระปิ่นทอง แต่พระปิ่นทองกลับตอบว่ามเหสีของตนเป็นหญิงอัปลักษณ์ แก้วได้ฟังดังนั้นก็รู้สึกไม่พอใจ และคิดหาทางกลั่นแกล้งพระปิ่นทองจนพอใจ
แก้วยอมอยู่กินกับพระปิ่นทองจนตั้งครรภ์ พระปิ่นทองจึงขอให้แก้วกลับไปอยู่ในวังด้วยกัน แต่แก้วพยายามหาข้ออ้างไม่ไป พระปิ่นทองจึงได้มอบแหวนไว้เพื่อเป็นของขวัญและหลักฐานแก่ลูกที่กำลังจะเกิดมา
เมื่อพระปิ่นทองกลับถึงเมือง แก้วหน้าม้ารีบตามไปดักหน้าและแกล้งถามว่าไปเจอสาวที่ไหนมาบ้างหรือเปล่า พระปิ่นทองรีบโกหกว่าไม่เจอใคร พร้อมทวงสัญญาเรื่องที่แก้วจะต้องตั้งครรภ์ แก้วจึงรีบแสดงตัวว่าตนตั้งครรภ์ ซึ่งสร้างความดีใจให้กับพระนางนันทาเป็นอย่างยิ่ง ในขณะที่พระปิ่นทองไม่รู้จะทำอย่างไรต่อไป จึงคิดหนีไปต่างเมืองโดยไม่ยอมให้แก้วไปด้วย แต่พระปิ่นทองก็ถูกพวกยักษ์จับตัวเอาไว้
ฝ่ายนางแก้วเมื่อคลอดลูกชายออกมา ก็เอาลูกไปฝากเอาไว้กับพระฤาษี พระฤาษีตั้งชื่อให้ว่า “พระปิ่นแก้ว” จากนั้นนางแก้วก็ไปตามหาพระปิ่นทองที่หายตัวไปตามญาณที่พระฤาษีชี้ทางให้ ระหว่างทางแก้วแปลงกายเป็นชายเข้าไปช่วยพระปิ่นทองให้รอดพ้นจากท้าวพาลราช แก้วฆ่าท้าวพาลราชตาย พวกยักษ์ที่เหลือจึงต่างพากันยอมสยบแทบเท้าแก้ว และยอมยกเมืองให้พระปิ่นทอง
พระปิ่นทองทำท่าจะสนใจลูกสาวยักษ์สองคนคือ เจ้าหญิงสร้อยสุวรรณและเจ้าหญิงจันทร แก้วรู้เข้าจึงรีบไปพาสองเจ้าหญิงมาหาพระฤาษี และบอกเรื่องราวที่แท้จริงว่าตนเป็นใคร เมื่อเจ้าหญิงทั้งสองได้รู้เรื่องราวของแก้ว ก็สัญญาว่าจะเก็บเป็นความลับ ก่อนที่จะกลับไปสู่เมืองยักษ์ตามเดิม
แก้วพาสองธิดาเมืองยักษ์กลับมายกให้พระปิ่นทอง พระปิ่นทองจึงชวนสองธิดายักษ์กลับเมืองมิถิลาไปด้วยกัน แก้วรู้เข้าจึงรีบสวมหน้าม้าขึ้นเรือเหาะไปดักหน้า เมื่อพระปิ่นทองกลับมาถึงเมืองมิถิลา แก้วก็อุ้มพระปิ่นแก้วมารอรับ และแสดงแหวนที่พระปิ่นทองเคยมอบไว้ให้เป็นหลักฐานว่านี้คือลูกของพระปิ่นทองจริง
กล่าวถึงท้าวกายมาต ซึ่งเป็นญาติกับท้าวพาลราชที่ถูกแก้วสังหาร เมื่อท้าวกายมาตทราบเรื่อง ก็เกิดความแค้นจนยกไพร่พลยักษ์มาล้อมเมืองมิถิลาเอาไว้ พระปิ่นทองทำอะไรไม่ถูกและคิดแต่ว่าคงจะต้องเสียเมืองให้ยักษ์อย่างแน่นอน ธิดายักษ์ทั้งสองเกรงว่าพระปิ่นทองจะพ่ายแพ้แก่ยักษ์ จึงบอกความจริงว่าแก้วคือใคร เมื่อพระปิ่นทองรู้เรื่อง จึงรีบไปขอร้องให้แก้วกลับมาช่วย แต่แก้วไม่ยอม
แต่แก้วก็ยังเป็นห่วงบ้านเมืองและพระนางนันทา แก้วจึงรีบแปลงกายเป็นชายออกสู้กับยักษ์ ขณะที่กำลังต่อสู้ อีโต้วิเศษไม่สามารถทำอะไรยักษ์ได้เลย และแก้วก็กำลังจะพลาดท่าท้าวกายมาตอยู่แล้ว แต่เมื่อแก้วเหาะข้ามหัวยักษ์ ก็ทำให้มนต์ยักษ์เสื่อมและสามารถฆ่าท้าวกายมาตได้สำเร็จ ท่ามกลางความยินดีของชาวมิถิลา
พระปิ่นทองสงสัยว่าชายหนุ่มที่เข้ามาช่วยต้องเป็นแก้วแน่ๆ จึงตามไปงอนง้อขอคืนดี นางแก้วยังคงเล่นตัว จนพระปิ่นทองขู่ว่าจะเชือดคอตาย แก้วจึงยอมถอดหน้าม้าและเข้าพิธีอภิเษกสมรสกับพระปิ่นทองอีกครั้ง และตั้งครรภ์ในเวลาต่อมา
ฝ่ายท้าวประกายกรด เมื่อรู้ข่าวว่าท้าวประกายมาตถูกฆ่าตายก็แค้น และกลับมาบุกเมืองมิถิลาอีกครั้ง พระปิ่นแก้วยกทัพไปสู้แต่ก็สู้ไม่ได้ ทำให้แก้วที่กำลังท้องแก่ต้องออกไปสู้กับยักษ์แทน ขณะที่กำลังต่อสู้กันอยู่นั้น ท้าวประกายกรดใช้เท้าถีบท้องของแก้ว จนทำให้นางคลอดพระธิดาออกมาถึง 3 องค์ ท้าวประกายกรดตกใจมากที่รู้ว่าศัตรูของตนเป็นหญิง ระหว่างนั้นเอง แก้วใช้ผ้าเปื้อนเลือดฟาดเข้าใส่ยักษ์ จนทำให้มนต์ยักษ์เสื่อม และท้าวประกายกรดก็ถูกฆ่าตายในที่สุด ตั้งแต่นั้นมา เมืองมิถิลาจึงกลับสู่ความสงบสุขอีกครั้งหนึ่ง
วันอังคารที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558
เงาะป่า
คนัง เป็นเงาะป่า อาศัยอยู่ในป่าจังหวัดพัทลุง คนังเป็นเพื่อนกับไม้ไผ่ วันหนึ่งคนังได้ไปชวนไม้ไผ่
ออกไปเที่ยวที่ป่าไปเป่านก หาเผือกหามันตามประสาเงาะป่า ในขณะที่คนังกับไม้ไผ่ปิ้งเผือกอยู่นั้น ซมพลากก็บังเอิญมาเจอเด็กทั้งสองคนพอดีจึงล้อมวงมาคุยกัน ซมพลาถามถึงลำหับซึ่ง เป็นพี่สาวของไม้ไผ่ ถึงเรื่องการสู่ขอฮเนาว่าบัดนี้ลำหับคิดอย่างไรบ้าง เพราะซมพลาก็ได้หลงรักลำหับมานานแล้ว ฝ่ายไม้ไผ่ก็ไม่ค่อยชอบฮเนา ไม้ไผ่
มีความตั้งใจให้้ลำหับพี่สาวของตนได้แต่งงานกับซมพลา ซมพลาได้ฝากดอกไม้กับเล็บเสือให้กับไม้ไผ่นำไปให้กับลำหับแล้ว ฝากข้อความในใจของตนแก่นาง
ฝ่ายนางลำหับได้ฟังที่ไม้ใผ่บอกมานั้น ก็นึกหวาดหวั่นในใจ และไม่คิดจะตอบโต้ไป เช้าวันหนึ่งไม้ไผ่
ได้ชวนลำหับไปเก็บดอกไม้ในป่า(ตามแผนซมพลา)พอดีที่เก็บดอกไม้มานั้นกิ่งไม้ไผ่โน้มลงมา มีงูตัวหนึ่งรัดแขน
ของนางลำหับไว้ นางลำหับตกใจก็เลยสลบไป ส่วนซมพลาที่แอบสุ่มดูก็รีบวิ่งเข้ามาช่วยซมพลาได้ฆ่างู และเข้ามา
ประคองลำหับดูว่าไม่มีรอยกัดจึงโล่งใจ เมื่อลำหับฟื้นขึ้นมาก็ตกใจเพราะว่าซมพลาได้กอดตนอยู่ นางเลยถอย
ออกมา ซมพลาถามถึงอาการและมีประโยคสุดซึ้งว่า"หากเจ้าตายไป พี่นี้จักตายตาม"ลำหับบอกว่าไม่เป็นไรและ
ได้กล่าวขอบคุณซมพลาที่ได้ช่วยตนไว้ และจะตอบแทนบุญคุณจนกว่าชีวิตจะหาไม่
การแต่งงานของฮเนากับลำหับที่ฝ่ายผู้ใหญ่ของฮเนาก็ได้ตระเตรียมงานไว้ งานแต่งก็มีขึ้นที่ต้นตะเคียน
ขบวนขันหมากของเจ้าบ่าวเคลื่อนสู่ที่จะทำงานวิวาห์ นางลำหับยังคงนั่งอยู่ในห้องก็ร้อนรนใจ สงสารฮเนาที่มารับตน
ลำหับไม่ได้รักฮเนาแต่ก็ไม่ได้รังเกลียจ นึกถึงซมพลาที่ถูกเนื้อต้องตัว ก็เหมือนเป็นสามีก็ร้องให้เสียใจ ฝ่ายไม้ไผ่ก็
เห็นคนทั้งบ้านวุ่นวายเรื่องการแต่งงาน ก็นำข่าวไปบอกซมพลา ซมพลาได้ฝากไม้ไผ่มาบอกแก่ลำหับว่าจะพาลำหับ
หนี เมื่อได้ฟังอย่างนั้นลำหับก็โล่งใจ จัดการแต่งตัวเพื่อร่วมงานวิวาห์ แล้วขบวนสาวก็มาถึงลานใต้ต้นตะเคียนและ
เริ่มทำพิธีแต่งงาน การแต่งงานที่สมบูรณ์นั้นต้องเข้าป่ากัน ๗ วัน ๗ คืน ฮเนาและลำหับจึงเข้าไปในป่า ฮเนาเข้าไป
ใกล้ลำหับ ลำหับตกใจร้องกรี๊ด อ้ายแคก็ซุ่มอยู่ก็เอาหินขว้างฮเนา ฮเนาโกรธแค้นจึงให้ลำหับ รออยู่ ส่วนตนจะออก
ตามคนที่ขว้างหินใส่ เมื่อฮเนาเดินพ้นไปนั้น ชมพลาได้เข้ามาบอกลำหับว่าจะหนี แล้วก็อุ้มนางไป ด้านฮเนาหาคน
ขว้างไม่เจอ จึงสังหรณ์ใจกลับมาหาลำหับ แต่ก็ไม่พบ จึงเรียกหาทั่วป่าทั้งคืนจนถึงเช้าก็กลับบ้าน ซมพลาได้พา
ลำหับมาอยู่ที่ถ้ำลึกในป่า มีความสัมพันธ์กันลึกซึ้ง เพราะซมพลารักลำหับมาก ส่วนลำหับก็รักซมพลามากเช่นกัน
ซมพลาออกมาหาเสบียงอาหารเพราะที่มีอยู่ใกล้หมดแล้ว ลำหับห้ามไม่ให้ไปเพราะกลัวมีอันตรายดั่งที่ซมพลาฝัน
ในคืนที่ผ่านมา แต่ซมพลาก็หาฟังคำของนางไม่เดินทางไปหาอาหารทิ้งลำหับไว้เบื้องหลัง ด้านฮเนาก็กลับไปเล่าให้
ผู้ใหญ่ฟังเมื่อทุกอย่างได้กระจ่างแล้ว ก็ลงความเห็นว่าซมพลาเป็นคนลักพาตัวนางไป ฮเนาพร้อมรำแก้ว ปองสอง
และปองสุดจึงออกตามหา จนไปพบซมพลระหว่างจะกลับถ้ำ เกิดต่อสู้กันเพราะฮเนาเข้าใจว่า ซมพลาลักพาตัว
นางลำหับไป รำแก้วได้ทีเห็นฮเนาออกห่างซมพลาก็เลยเป่าลูกดออกอาบยาพิษไปโดนหน้าผากซมพลาเข้า ซมพลา
เดินโซซัดโซเซไปเจอลำหับที่เดินตามหาด้วยความเป็นห่วง ซมพลาใกล้จะตายจึงสั่งลาลำหับ ลำหับยิ่งเสียใจไปกัน
ใหญ่คว้ามีดที่อยู่ในมือซมพลาแทงซอกคอตัวเองตาย ฮเนาเห็นเหตุการณ์ และได้ฟังคำพูดทุกอย่างที่ซมพลาร่ำลา
นางลำหับ ปรากฎว่าตนเองเข้าใจผิดหมด ที่จริงลำหับหนีมากับซมพลาเอง ฮเนารักนางลำหับอย่างไม่มีใครแทนที่
ได้ จึงใช้มีดแทงตนเองตาย ทั้งสามตายเคียงกัน รำแก้วและปองสองปองสุดต่างพากันกล่าวสรรเสริญความรักของ
ทั้งสามคน และขุดหลุมฝังทั้งสาม และโปรยดอกไม้ด้วยความอาลัย
อุทัยเทวี
ณ เมืองบาดาล ธิดาพญานาคตนหนึ่งต้องการอยากจะออกมาพบเจอกลับโลกภายนอก จึงแอบหนีมาเที่ยวยังเมืองมนุษย์ และได้เกิดพบรักกับรุกขเทวดารูปงามที่สิงสถิตอยู่ ณ ต้นไม้ริมสระน้ำ ด้วยความรักที่มีให้แก่กัน ธิดาพญานาคจึงได้ตั้งครรภ์และคลอดลูกออกมาเป็นไข่หนึ่งฟอง นางได้ใช้จึงสไบห่อไข่และพ่นพิษคุ้มครองไข่เอาไว้ก่อนจะกลับลงสู่เมืองบาดาล ดังเดิม และหวังว่าลูกของตนจะปลอดภัยจากอันตรายทุกประการ
แต่ก็ไม่ เป็นเช่นนั้น เพราะเมื่อเวลาผ่านไป ไข่ก็ฝักเป็นเด็กน้อยออกมา แต่ระหว่างที่เด็กน้อยกำลังจะลืมตาดูโลก บังเอิญมีนางคางคกผ่านมาเห็น และแอบกินไข่จนตายด้วยพิษของนางพญานาค เด็กหญิงที่เพิ่งเกิดลืมตามาเห็นนางคางคกก็คิดเอาเองว่านางคางคกเป็นแม่ของ ตน จึงได้อาศัยอยู่ในซากคางคกเน่าๆนั้นต่อไป จนกระทั่ง มีตายายคู่หนึ่งบังเอิญผ่านมาเห็นเด็กน้อย ก็เข้าช่วยเหลือเลี้ยงดูด้วยความสงสาร และตั้งชื่อให้ว่า “อุทัยเทวี”
เวลา ผ่านไป นางอุทัยเทวีเติบโตขึ้นเป็นสาวสวยและได้แต่งงานกับเจ้าชายสุทธราช ก่อนการแต่งงานตากับยายได้ยื่นข้อเสนอให้เจ้าชายสร้างสะพานทองเชื่อมระหว่าง วังและบ้านเพื่อจะได้ไปมาหาสู่กันได้ เจ้าชายตกลงตามข้อเสนอของตายาย นางอุทัยเทวีจึงได้เป็นสะใภ้แห่งเมืองหลวง
แม้ว่านางอุทัยเทวีจะได้ เข้าไปเป็นสะใภ้แห่งเมืองหลวงแล้ว มารดาของเจ้าชายก็ยังไม่ชอบใจนางเท่าไรนัก จึงพยายามหาทางให้ลูกของตนตกไปเป็นของสาวอื่น ความพยายามของมารดาเจ้าชายสำเร็จเมื่อเจ้าชายต้องไปแต่งงานใหม่กับเจ้าหญิง ฉันทนา โดยมีนางอุทัยเทวีตามไปด้วยตามสัญญา เจ้าหญิงฉันทนาไม่ชอบใจนางอุทัยเทวี และคิดจะกำจัดเสียให้พ้นทาง แต่เคราะห์ดีที่พ่อของนางอุทัยเทวีมาช่วยไว้ทัน นางอุทัยเทวีจึงรอดชีวิตและรอแก้แค้นนางฉันทนาอยู่นอกวัง
ด้วยความ กลุ้มใจกลัวว่านางอุทัยเทวีจะเป็นผีมาหลอก ผมของนางฉันทนาจึงเริ่มหงอกทีละเส้นๆ จนทำให้ผมที่เคยดำกลับขาวไปทั้งหัว จนต้องเอาผ้าพันศีรษะไว้ตลอดเวลา ในขณะที่ นางอุทัยเทวีก็แปลงกายเป็นแม่ค้าขายขนมที่ยังคงมีผมดกดำเพื่อรอการแก้แค้น ฝ่ายนางฉันทนาเห็นว่ายายแก่คนนี้น่าจะมีเคล็ดลับการบำรุงรักษาผม จึงได้เรียกให้ยายแก่เข้าไปในวังเพื่อรักษาผมของตนเอง นางอุทัยเทวีที่ปลอมตัวเป็นยายแก่ยื่นข้อเสนอว่า จะรักษาให้ก็ต่อเมื่อนางฉันทนายอมทำทุกอย่างตามที่ตนต้องการโดยห้ามถามอะไร ทั้งสิ้น ด้วยความที่อยากจะกลับมาสวยอีกครั้ง นางฉันทนาจึงตกลงรับคำ
เมื่อ นางอุทัยเทวีเข้ามาถึงตัวนางฉันทนา ก็จับนางโกนผมออกจนหมด กรีดศีรษะ แล้วเอาปลาร้าใส่หม้อครอบหัวนางฉันทนาไว้ โดยห้ามเอาหม้อออกก่อนวันที่ 7 แต่เพียงเวลาไม่ทันข้ามคืน นางฉันทนาก็ทนพิษบาดแผลไม่ไหว และสิ้นใจตายในที่สุด
เจ้าชายสิทธิราชรู้ความ จึงรีบเสด็จกลับไปเมืองของตน และพบว่านางอุทัยเทวียังมีชีวิตอยู่ เจ้าชายและนางอุทัยเทวีจึงได้ครองรักกันอย่างมีความสุขตราบนานเท่านาน
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)